Latest Article :
Recent Article

เจย์ ปาร์ค อดีตลีดเดอร์วงทูพีเอ็ม


แฟนเพลงเกาหลีในไทยโชคดีอีกแล้วที่จะได้สัมผัสศิลปินคนโปรด เมื่อ เจย์ ปาร์ค เตรียมบินลัดฟ้ามาเมืองไทยในงานแฟนมีท “เจย์ ปาร์ค เฟิสต์ สเต็ป อิน ไทยแลนด์ 2010” หลังจากประกาศลาออกจากวงทูพีเอ็มไปปีกว่าก็กลับสู่วงการเพลงเกาหลี   อีกครั้งในฐานะศิลปินเดี่ยวกับค่าย   เพลงใหม่ 
    
เจย์ ปาร์ค ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 25 เมษายน ปี พ.ศ. 2530 สูง 170 เซนติเมตร หนัก 60 กิโลกรัม เลือดกรุ๊ปเอ เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลี เพราะเกิดและเติบโตที่เขตเอ็ดมอนต์ส ในเมืองซีแอตเติล รัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา    และเคยเป็นอดีตนักร้องและหัวหน้าวงทูพีเอ็ม นอกจากนี้ เจย์ ปาร์ค พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก ชอบทานแฮม เบอร์เกอร์ มะม่วงอบแห้ง อาหารที่   ไม่ชอบคือ ปลาหมึกสด
    
เจย์ ปาร์ค มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นด้วยดวงตาแบบชาวเอเชียแท้ ริมฝีปากหยักได้รูป นิ้วมือที่เรียวยาว และกล้ามเนื้อที่แสดงให้เห็นถึงการ     ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ตอนเด็ก เจย์ ปาร์ค ใฝ่ฝันว่าอยากเป็นสัตวแพทย์ แต่เขามีความสามารถพิเศษในการเต้นบีบอย ร้องและแต่งท่อนแร็พ ทั้งนี้ เจย์ ปาร์ค ผ่านการ ออดิชั่นที่สหรัฐเพียงคนเดียว โดย ปาร์ค จิน ยอง ประธานบริษัท เจวายพี ได้ชมการออดิชั่นของ เจย์ ปาร์ค ด้วยตนเอง และเป็นคนที่นำตัวเขา    มาที่เกาหลีใต้จากการคัดเลือกทั่วอเมริกา ก่อนรวมกลุ่มเป็นบอยกรุ๊ป
     
แรกเริ่ม เจย์ ปาร์ค เข้าบริษัท เจวายพี เพื่อเป็นนักร้องและเต้นบีบอย เขาเรียนร้องเพลงและภาษาเกาหลีเป็นระยะเวลา 4 ปี อย่างไรก็ตาม เจย์ ปาร์ค บนเวทีการแสดงมักเป็น ที่จดจำในเรื่องของสรีระที่สวยงาม ภายหลังที่เขาประกาศลาออกจากวงทูพีเอ็ม และกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดใน   ซีแอตเติล เจย์ ปาร์ค ใช้เวลาใน การฝึกซ้อมเพิ่มพูนความสามารถด้านดนตรี และออกไปแข่งขันบีบอยในนามของกลุ่มอาร์ต ออฟ มูฟเมนต์
    
นอกจากนั้น เจย์ ปาร์ค ยังมีผลงานภาพยนตร์ 3 มิติเรื่อง ไฮป์ เนชั่น ทรีดี ซึ่งเป็นการร่วมทุนสร้างระหว่างเกาหลีกับอเมริกา ในเรื่อง เจย์ ปาร์ค รับบทเป็นตัวร้ายชื่อ ดาร์คเนสส์ หัวหน้าทีมบีบอยเกาหลีเชาส์ ครู 
    
เจย์ ปาร์ค ในฐานะศิลปินเดี่ยว ออกซิงเกิ้ลแรก เคานท์ ออน มี เป็นการหยิบเพลงฮิต นอร์ตทิน ออน ยู ของ บี.โอ.บี. มาทำใหม่ในเวอร์ชั่นภาษาเกาหลี และตอนนี้มียอดดาวน์โหลดเพลงนี้ในเว็บไซต์ยูทูบกว่าล้านครั้งแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหนุ่ม    เจย์ ปาร์ค ยังเป็นที่รักของแฟนเพลงเหมือนเดิม คอยพบ   กับ “เจย์ ปาร์ค เฟิสต์ สเต็ป อิน ไทยแลนด์ 2010” วันที่ 28 พฤศจิกายนนี้ ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ 3 สยามพารากอน

ขอบคุณที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์
{[['']]}

ฮิคารุ อูทาดะ สาวน้อยมหัศจรรย์


ช็อกไปตาม ๆ กันเมื่อฮิคารุ อูทาดะ นักร้องซูเปอร์สตาร์ของญี่ปุ่นวัย 27 ปี ประกาศแขวนไมค์เลิกร้องเพลงอย่างไม่มีกำหนด โดยเธอให้เหตุผลว่า อยากจะมีชีวิตแบบคนธรรมดา ซึ่งอูทาดะ จะเริ่มหยุดงานเพลงตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป เธอกล่าวด้วยว่า การที่เป็นนักร้องตั้งแต่อายุ 15 ปี จึงถึงจุดอิ่มตัวเร็ว ทำให้อยากใช้ชีวิตแบบคนทั่วไปบ้าง และเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ในโลกกว้าง อย่างไรก็ตาม อูทาดะ ได้ปล่อยอัลบั้มรวมทั้งซิงเกิ้ลฮิตของเธอมาให้แฟนเพลงได้อุดหนุนกันเป็นการ ส่งท้าย
    
อูทาดะ เกิดที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 19 มกราคมปี 2526 และจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ก่อนย้ายกลับมาอยู่ในกรุงโตเกียวของญี่ปุ่นเมื่อปลายปี 2541 และได้ทำสัญญากับยูนิเวอร์ซัล มิวสิค กรุ๊ป อีเอ็มไอ มิวสิค เจแปน ในการออกผลงานเพลง 
    
เธอเป็นนักร้องแนวอาร์แอนด์บี และเจป๊อป ซึ่งเป็นสาวชาวญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในแดนซากุระ ด้วยความสามารถของเธอ ผลงานเพลงเกือบทั้งหมดอูทาดะจะเขียนและเรียบเรียงทำนองด้วยตัวเอง เพียงแค่อัลบั้มแรกเฟิร์สต์ เลิฟ เมื่อปี 2542 ก็ทำให้เธอมีชื่อเสียงแล้ว สามารถทำยอดขายได้สูงถึง 8 ล้านชุด ขึ้นแท่นอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดในญี่ปุ่นตลอดกาล และยังไม่มีใครทำได้จนถึงปัจจุบัน 
    
แนวเพลงของอูทาดะ มักจะเป็นอาร์แอนด์บีหนัก ๆ แต่ปัจจุบันเพลงของเธอจะเป็นแนวป๊อปมากขึ้นจากการปรับปรุงทำนองของเธอเอง ซิงเกิ้ลชุดแรกของเธอที่ประสบความสำเร็จอย่างมากคือ ออโตเมติค/ไทม์ วิล เทล โดยเฉพาะออโตเมติค ได้ทำให้ชื่อของอูทาดะ เป็นที่รู้จักของคนไทยในนามสาวน้อยมหัศจรรย์
    
สาวอูทาดะ ออกอัลบั้มเต็มมาแล้ว 6 ชุด และหนึ่งในนั้นเป็นอัลบั้มเต็มภาษาอังกฤษที่ประสบความสำเร็จในอเมริกา ซิงเกิ้ล 21 ชุด และวิดีโอ/ ดีวีดีอีก 16 ชุด นอกจากนี้ เธอยังได้ร้องเพลงโบลว์ มาย วิสเซิล คู่กับฟ็อกซี่ บราวน์ เพื่อใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง คู่ใหญ่ฟัดเต็มสปีด 2 อีกทั้งเพลงของเธอยังใช้เป็นเพลงประกอบวิดีโอเกมด้วย คือเกมคิงดอม ฮาร์ทส์ 
    
นอกจากนี้ เธอยังเป็นศิลปินเดี่ยวหญิงคนแรกและคนเดียวในญี่ปุ่น ที่มียอดขายรวมมากกว่า 5 แสนแผ่นทั้ง 5 อัลบั้ม ภายในสัปดาห์แรกที่วางขาย อย่างไรก็ตาม แม้เธอประสบความสำเร็จในวงการเพลง แต่อูทาดะ ไม่สมหวังในความรัก เธอแต่งงานกับคิริยะ คาซึอากิ ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 6 กันยายนปี 2545 แต่ได้หย่าร้างกันเมื่อวันที่ 3 มีนาคม  ปี 2550

ขอบคุณที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์
{[['']]}

คุณสมบัติ 50 ข้อ ของละครไทย


คุณสมบัติ 50 ข้อ ของละครไทย
1. ถ้าคุณเป็นคนจน แม้ไม่เคยมีงานทำก็มีเงินกินข้าว และ เปลี่ยนเสื้อผ้าตลอดเรื่อง

2. โฆษณามักจะตัดกับตอนที่นางเอกกำลังถือแก้วกำลังจะจิบยานอนหลับ

3. ตัวละครแต่งหน้าตลอดเวลา แม้กระทั่ง นอนหรือป่วย ขนตาและมาสคาร่ามันโปะเต็มหน้า

4. ไม่พระเอกก็นางเอกจะมีปัญหาครอบครัว

5. พระเอกนางเอกละครไทยจะเริ่มปิ๊งกัน เพียงแค่ล้มทับกัน แต่จ้องตาเป็นประกายประมาน 3วิ ซะทุกเรื่อง นางเอกต้องอยู่ด้านบนด้วยนะ

6. เมื่อหลงป่า ฝนจะตก และเมื่อฝนตก จะเจอกระท่อมหรือถ้ำ และเมื่อเจอกระท่อมหรือถ้ำก็ยั่งว่า...

7. หากพระเอกโดนรุมทำร้าย ท่อนไม้เป็นอาวุธที่นางเอกจะหาได้ทุกที

8. นางร้ายที่มาในชุดแดง จะมีความร้ายระดับนางมาร

9. ตื่นมาละแปรงฟันกันน้อยมาก

10. เรื่องสำคัญอะไรก็ตามที่จะบอกกัน มักโดนตัดบทเสมอ

11. แม้ว่าพระเอกจะจบสูงมาแค่ไหนสุดท้ายก็โง่ได้อย่างมหัศจรรย์ด้วยคำพูดตัวร้าย เรียกได้ว่า พระเอกจะเชื่อทุกเรื่อง นอกจากเรื่องจริง

12. บุหรี่ เหล้า และ ยี่ห้อสินค้าโดนเซ็นเซอร์อย่างไร้สาระ แต่ตอนตบตีกัน ภาพใสแจ๋ว

13. พระเอกแขนเท่ากุ้งสามารถล้มนักเพาะกาย 4-5 คนได้มือเปล่า โดยท่าแรกมักจะเป็นเข้ามาชก และพระเอกปัดมือกัน และ โดนเตะออกไป

14. ร้องไห้หน้ายังสวย

15. เป็นธรรมดาที่จะเห็นตัวละครพูดกับตัวเอง เหมือนคนบ้า ( คิดในใจไม่เป็น )

16. ตัวร้ายมีจุดจบ 3 ประการ ตาย เป็นบ้า และ กลับมาดี ตัวร้ายไม่เคยได้ชดใช้ในสิ่งที่ทำ

17. เมื่อนางเอกปลอมตัวเป็นผู้ชาย พระเอกจะดูออกคนสุดท้าย แม้ว่าคนทั้งโลกจะดูออกตั้งแต่วินาทีเเรก

18. บ้านนกอินทรีย์เป็นสถานที่ยอดนิยมในการถ่ายละคร

19. ยิงปืนไม่เคยโดนกัน ถ้าจะโดนก็โดนหัว ไม่ก็ แขน

20. และตอนตาย หน้าตาจะยังสดสวย แม้ว่าตัวละครนั้นจะยิงสมองตัวเองตาย เลือดยังไม่เปื้อนหน้า แต่จะย้อยลงมาอย่างสวยงาม และนอนในท่าที่สวยหรู

21. นักธุรกิจ มีการประชุมน้อยมาก

22. เลขาหน้าห้องมักสวย และ เป็นสายให้กับนางร้าย

23. ไม่เคยเรียกเก็บเงินหลังจากกินข้าว

24. ท่าเต้นในผับ มีท่าเดียว

25. การตบหน้าด้วยส้นสูงเป็นที่ฮือฮามากในช่วงหนึ่ง ทำให้การตบด้วยมือดูโลโซไปในขณะหนึ่ง

26. เวลาซ่อนตัวจากผู้ร้าย ต้องมีหนึ่งคนเหยียบกิ่งไม้

27. ถุงชอปปิ้ง หรือกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ขนาดไหน จะเบาโหวง เพราะข้างในไม่มีอะไรเลย

28. ตร. หมอ มีอย่างละคน คดีไหน โรค ก็ เจออยู่คนเดียว และ ตำรวจมักจะมาตอนจบ

29. แอบฟังคนพูดกันในห้อง ถึงห้องจะปิดอยู่ก็ได้ยิน

30. พระเอกจะเห็นเสมอเวลา นางเอกจับมือกับผู้ชาย แบบพี่น้องหรือเพื่อน แล้วก็เข้าใจผิด

31. พระเอกต้องมีเลือดกรุปเดียวกับนางเอกหรือ ญาตินางเอก แต่ห้ามบอกเชียวนะ ว่าตัวเองเป็นคนให้เลือด หนังจะจบเร็ว

32. ตอนจบพระเอก นางเอกยืนจับมือ มองหน้าักัน จูบหน้าผาก พ่อแม่ ญาติ พี่น้อง เพื่อน คนใช้.. ยืนแอบดู แล้ว ตบมือ !!!แปะๆๆ

33. คนใช้ หรือลูกจ้างเป็นตัวเดินเรื่อง ประสานช่องโหว่งที่คนดูจะไม่เข้าใจ

34. ตัวละครยังไม่ทันได้พูดความจริงจนหมด ก็ตายไปซะก่อน

35. ช่วงหลัง นางเอกกับนางร้ายจะมีนิสัยใกล้เคียงกัน

36. พระเอกจะหมั้นกับนางร้ายมาเป็นปีๆ แต่ถ้านางเอกโผล่ปุ๊บ นางร้าย มีข้อเสียปั๊บ

37. พ่อพระเอกหรือนางเอก ต้องมีเมียน้อย

38. ต้องมีคนใช้ 2 ฝ่าย ธรรมะ และอธรรม ตีกันเอง

39. ตอนจบอาจจะมีคนใดคนหนึ่งเป็นบ้า ชีจะนั่งบนเตียงผู้ป่วยพร้อมกับตุ๊กตาหนึ่งตัว

40. ตัวประกันถูกจับที่เดียวคือโกดัง และ พระเอกจะมาทันตลอดราวกับว่ามีโกดังที่เดียวในประเทศไทย

41. กระโดดบังกระสุนแทนถือเป็นสุภาพบุรุษที่สุดละ

42. เวลามีคนโทรเข้ามือถือ กล้องต้องซูมเข้าไปให้เห็นชื่อแล้วถึงจะรับโทรศัพท์ได้ เดี๋ยวคนดูไม่รู้ว่าใครโทรมา

43. ฉากงานหมั้นหรือแต่งงาน จะมีคนมาขัดจังหวะ แฉและเปิดโปงความจริง

44. ฉากเลิฟซีนมักจะอยู่ในห้องที่มีเตียงและผ้าหุ่มสีขาว

45. จูบเเล้วต้องตบ ตบแล้วต้องด่า ด่าแล้วต้องวิ่งหนีไป

46. ถ้าเป็นฝาแฝด นางเอกมักจะถูกแยกกันแต่เกิด คนนึงไปอยู่กับมหาเศรษฐี อีกคนอยู่สลัมส์ตกยาก แล้วก็ต้องสลับตัวกัน

47. เวลามีฉากข่มขืน ผญ.จะวิ่งไปล้มบนที่นอน เหมือนจะพร้อมให้ย่ำยีแล้ว

48. พ่อไปดูลูกนอน หรือ พระเอกไปดูนางเอกนอน จะห่มผ้าให้ ถึงห้องนอนจะไม่มีแอร์ หรือไม่ใช่หน้าหนาว

49. ไม่ว่าตัวละครใดๆ ที่เป็นผู้หญิง จะต้องแต่งตัวเวอร์มากๆ ไม่มีคำว่าชุดอยู่บ้าน เครื่องแต่งกายจะต้องเลิศหรูเกินมนุษย์ปกติ

50.ช่อง 3 ตอนจบ ช่อง 7 ตอนอวสาน

ขอบคุณที่มา : www.thaireaderclub.com/
{[['']]}

ดังเพียงชั่วข้ามคืน... ด้วยความสามารถคนละแบบ


หลังจากผ่านพ้นเดือนมิถุนายน 2557 ไปได้เพียงหนึ่งวัน และก้าวเข้าสู่วันแรกของเดือนกรกฏคม 2557 ได้เกิดกระแสความดังของหญิงสาว 2 คนขึ้นมาในเวลาไล่เรี่ยกัน
คนหนึ่งเป็นดาราแต่ใช้รูปสมบัติและสิ่งสงวนเป็นเครื่องมือในการดึงดูความสนใจสื่อมวลชนที่เข้ามาร่วมงาน เพื่อให้เป็นกระแสข่าว (สยามดารา สตาร์ อวอร์ดส์ 2014) โดยสื่อมวลชนที่มาร่วมงานต่างระดมกดชัตเตอร์กันพัลวัน เมื่อหันไปเห็นภาพของดาราสาวคนนั้น

อีกคนเป็นเด็กสาวกำลังเรียนมหาวิิทยาลัยแห่งหนึ่ง ใช้ความสามารถในการพากษ์เสียงการ์ตูนและตัวละครในภาพยนตร์ที่ตัวเองชื่นชอบ ผ่านคลิปที่ตัวเองบันทึกไว้ด้วยความสนุกกับเพื่อนๆ ผ่านโซเชียลมีเดีย
ความเหมือนอย่างหนึ่งในสองเหตุการณ์ข้างต้นคือ ทั้งสองคน "ดังในชั่วข้ามคืน" แต่ความต่างนั้นมีมากมาย... หลังจากเหตุการณ์ผ่านไป หลายคนถามหาความถูกต้องและความเหมาะสมถึงการกระทำของดาราสาวผู้นั้น รวมทั้งความรับผิดชอบต่อสังคมในฐานะที่เธอเป็น "คนของประชาชน" ที่มีเยาวชนเฝ้ามองเธออยู่
ถ้ามองในแง่ความเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล เธอสามารถทำได้ครับ แต่ควรทำในที่รโหฐาน ไม่ใช่ในที่สาธารณะแบบนี้เพราะเธอคือตัวอย่างของเยาวชน ถ้าอยู่ในที่รโหฐานแล้วมีภาพหลุดออกมา คนที่สมควรโดนด่ามากที่สุดก็คือคนที่ถ่ายรูปและคนที่เผยแพร่ เพราะถือว่าละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคล
ดังนั้นสิ่งที่เธอทำในเหตุการณ์ครั้งนี้ ส่วนตัวผมคิดว่าเธอน่าจะออกมาขอโทษประชาชน โดยใช้วิจารณญาณในมุมมองที่มีผลกระทบต่อเยาวชนและสังคมส่วนรวม เพราะการกระทำครั้งนี้ใครๆ ก็ดูออกว่าเป็นการกระทำที่มุ่งแต่ผลในมุมของตัวเอง จนลืมผลกระทบของสังคมที่จะตามมา
ส่วนน้องเจน ที่มีความสามารถพิเศษในการพากษ์เสียงตัวการ์ตูนและตัวละคร ถูกกล่าวถึงในโลกโซเชียลมีเดียเช่นกัน แบบว่าใครได้ดูแล้วเป็นต้องหัวเราะ และ อึ้ง ในความสามารถของเธอทุกคน ถึงขนาดคุณสรยุทธ นักเล่าข่าวชื่อดังช่อง 3 ประกาศตามหาตัวเธอกลางรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ กันเลยทีเดียว




หากความดังสามารถสร้างได้โดยใช้เพียงแค่ร่างกาย และของสงวน โดยไม่มีการคัดค้านใดๆ จากสังคม การกระทำในลักษณะนี้จะมีเกิดขึ้นอีกเป็นร้อยเป็นพัน และถ้าถึงจุดนั้นเมื่อไรสังคมก็จะวิกฤต ยากต่อการเยียวยา...
สุดท้าย อยากวิงวอนให้ทุกท่านช่วยกันส่งเสริมคนดีมีความสามารถอย่างแท้จริง อย่างน้องเจน นักพากษ์หน้าใส (ผมตั้งเอง) ให้ได้รับการเชิดชูและมีโอกาสในสังคมมากขึ้น และอย่าปล่อยให้การสร้างกระแสความดังแบบ "มักง่าย" เป็นตัวบ่อนทำลายเยาชนและสังคมของเราอีกต่อไป
{[['']]}

เพลงวิญญาณ VS เพลง I Won't Give Up



หลังจากอัลบั้มใหม่ของแสตมป์เปิดตัวไปได้ไม่นาน ก็เกิดมีกระแสวิพากษ์วิจารย์จนเป็นเกือบจะเป็นเรื่องดราม่า ในเว็บพันทิพย์ ซึ่งมีการตั้งกระทู้เป็นข้อสังเกตว่า เพลง วิญญาณ ของแสตมป์ นั้นไปลอกเลียนเพลง I Won't Give Up ของ Jason Mraz หรือเปล่า?
ผมเองปกติไม่เคยฟังเพลง I Won't Give Up แต่พอจะรู้เทคนิคและสไตล์การแต่งและร้องของ แสตมป์ อยู่บ้างพอสมควร เมื่อเห็นดราม่าเรื่องดังกล่าวจึงรีบไปหาเพลง I Won't Give Up มาฟังอย่างเร่งด่วนเพื่อเปรียบเทียบกับเพลง วิญญาณของแสตมป์ ฟังอยู่หลายรอบ จนเริ่มจะง่วงนอน
หลังจากฟังเพลงเปรียบเทียบกันอยู่หลายรอบ พอจะสรุปได้คือ เนื้อหาทั้ง 2 เพลงต่างกันอย่างสิ้นเชิง (อันนี้ใครๆ ก็ทราบ และไม่เกี่ยวกับการดราม่าครั้งนี้ แต่ผมอยากบอก..555) 

จังหวะของเพลงหรือ Time Signature ที่ผมพยายามฟังแล้วนับจังหวะตามได้คือ เป็นแบบ 6/4 หรือ 6/8 (อันนี้ต้องดูที่โน๊ตถึงจะฟันธง แต่เป็นจังหวะ 6 แน่ๆ - ถ้าผมนับไม่ผิด) ซึ่งจังหวะ หรือ Time Signature แบบนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในบ้านเราเท่าไร เพราะปกติจะเป็นแบบ 4/4 เสียส่วนใหญ่ จะมีแบบ 3/4 หรือ 2/4 หลุดมาบ้างแต่เป็นแนวเพลงที่ไม่นิยมใช้ในแนวป๊อบหรือ Rock
คีย์ หรือบันไดเสียงที่ใช้ทั้ง 2 เพลงดังกล่าว น่าจะเป็นคีย์เดียวกัน เพราะฟังระดับเสียงแล้วมันเข้ากันได้พอดี (ผมไม่ทราบหรอกว่าเขาใช้คีย์อะไร เพราะเปียโนกับที่ฟังเพลงผมอยู่คนละห้องกัน เลยไม่ได้เทียบเสียง) 

- และสิ่งที่เหมือนกันอีกอย่างคือ ท่อน Hook ที่มีโน๊ตช่วงแรกเหมือนกันประมาณ 4-5 ตัว (ย้ำว่า 4-5 ตัว) ซึ่งในความเป็นจริง มีความเป็นไปได้สูงที่เพลงจะมีโน๊ตซ้ำกันในลักษณะนี้ โดยอาจจะเกิดจากFeeling หรืออาจจะเกิดจาก Line ของโน๊ต และคำที่ใช้ในเพลง ทำให้โน๊ตต้องออกมาแบบนั้น ดังนั้นการที่มีโน๊ตตรงกันเพียง 4-5 ตัว ไม่ถือว่าเป็นการลอกเลียนแบบ  แต่ถ้ามากกว่านี้ต่อให้อมพระมาพูดพี่เสกและป๋าเบิร์ดไม่เชื่อแน่นอน (ไปดึงเขามาเกี่ยวทำไม...?)

เมื่อฟังองค์ประกอบทั้งเพลงของเพลงวิญญาณแล้ว จะมีกลิ่นอายของเพลง  I Won't Give Up อยู่บ้างนิดหน่อย เพราะมีบางอย่างที่เหมือนกันตามที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่นอกนั้นไม่มีอะไรเหมือนกันเลย และเมื่อพิจารณาเนื้อเพลงที่ถ่ายทอดออกมา ต่อให้ใครร้องก็ต้องเดาออกทันทีว่าเพลงนี้แสตมป์เป็นคนแต่ง โดยดูที่การใช้คำในเนื้อเพลง เพราะแสตมป์จะมีเอกลักษณ์ในการใช้คำในการแต่งเพลงที่ชัดเจนมาก ถ้าท่านได้ดูวีดีโอคอนเสิร์ต "ว่านควบแสตมป์" ใน YouTube ช่วงที่ทั้งสองคนออกมาเล่นกัน ก็จะเห็นภาพตามที่ผมอธิบายทันที
สรุปงานนี้ไม่ใช่เป็นการลอกเลียนแบบ แต่เพลง I Won't Give Up อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจที่ไม่ได้ตั้งใจ เพราะเป็นเพลงที่แสตมป์เคยฟังบ่อยๆ จึงทำให้เมโลดี้ติดอยู่ในหัวมาก็เป็นได้

เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์... ลองฟังเปรียบเทียบกันดูเอาเองนะครับ
{[['']]}

The Love Machine วงล้อ...ลุ้นรัก | 5 ตุลาคม 2558 [FULL] [HD]



TheLoveMachine วงล้อ...ลุ้นรัก💕💕💕
💌 เดทติ้งเกมโชว์สุดฮิตจากหลายประเทศ
💍 รายการที่ให้คุณหมุนวงล้อลุ้นรักจนเจอคนที­่ใช่ และเลือกในแบบที่คุณชอบ
📺 ออกอากาศทุกวันจันทร์ 23:20น. ช่อง3,ช่อง3HD
📞 สมัครร่วมรายการโทร 083-009-9097
#‎TheLoveMachineTH #‎CH3
{[['']]}

จิตรกรรมและการจำแนก



จิตรกรรม เป็นงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการวาด ระบายสี และการจัดองค์ประกอบความงามอื่น เพื่อให้เกิดภาพ 2 มิติ ไม่มีความลึกหรือนูนหนา จิตรกรรมเป็นแขนงหนึ่งของทัศนศิลป์ ผู้ทำงานจิตรกรรม มักเรียกว่า จิตรกร
          จอห์น แคนาเดย์ (John Canaday) ได้ให้ความหมายของจิตรกรรมไว้ว่า จิตรกรรม คือ การระบายชั้นของสีลงบนพื้นระนาบรองรับ เป็นการจัดรวมกันของรูปทรง และ สีที่เกิดขึ้นจากการเตรียมการของศิลปินแต่ละคนในการเขียนภาพนั้น พจนานุกรมศัพท์ อธิบายว่า เป็นการสร้างงานทัศนศิลป์บนพื้นระนาบรองรับ ด้วยการ ลาก ป้าย ขีด ขูด วัสดุ จิตรกรรมลงบนพื้นระนาบรองรับ
          ภาพจิตรกรรมที่เก่าแก่ที่สุดที่เป็นที่รู้จักอยู่ที่ถ้ำ Chauvet ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนอ้างว่ามีอายุราว 32,000 ปีเป็นภาพที่สลักและระบายสีด้วยโคลนแดงและสีย้อมดำ แสดงรูปม้า แรด สิงโต ควาย แมมมอธ หรือมนุษย์ ซึ่งมักจะกำลังล่าสัตว์
การจำแนก
จำแนกได้ตามลักษณะผลงานที่สิ้นสุด และ วัสดุอุปกรณ์การสร้างสรรค์เป็น 2 ประเภท คือ ภาพวาด และ ภาพเขียน
    * จิตรกรรมภาพวาด (Drawing) จิตรกรรมภาพวาด เรียกเป็นศัพท์ทัศนศิลป์ภาษาไทยได้หลายคำ คือ ภาพวาดเขียน ภาพวาดเส้น หรือบางท่านอาจเรียกด้วยคำทับศัพท์ว่า ดรอวิ้ง ก็มี ปัจจุบันได้มีการนำอุปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ใช้ในการเขียนภาพและวาดภาพ ที่ก้าวหน้าและทันสมัยมากมาใช้ ผู้เขียนภาพจึงจึงอาจจะใช้อุปกรณ์ต่างๆมาใช้ในการเขียนภาพ ภาพวาดในสื่อสิ่งพิมพ์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ภาพวาดลายเส้น และ การ์ตูน
    * จิตรกรรมภาพเขียน (Painting) ภาพเขียนเป็นการสร้างงาน 2 มิติบนพื้นระนาบด้วยสีหลายสีซึ่งมักจะต้องมีสื่อตัวกลางระหว่างวัสดุกับ อุปกรณ์ที่ใช้เขียนอีก ซึ่งกลวิธีเขียนที่สำคัญ คือ
   1.
         1. การเขียนภาพสีน้ำ (Colour Painting)
         2. การเขียนภาพสีน้ำมัน (Oil Painting)
         3. การเขียนภาพสีอะคริลิค (Acrylic Painting)
         4. การเขียนจิตรกรรมฝาผนัง (Fresco Painting)
         5. จิตรกรรมแผง(Panel Painting)
จำแนกตามยุคสมัยและแหล่งสร้างสรรค์ เช่น
    * จิตรกรรมไทย
    * จิตรกรรมยุคกอธิค
    * จิตรกรรมยุคบาโรก
    * จิตรกรรมยุคอิมเพรสชันนิสม์
    * จิตรกรรมยุคอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง
    * จิตรกรรมยุคเนเธอร์แลนด์ตอนต้น
    * จิตรกรรมยุคเรอเนซองส์
    * จิตรกรรมยุคแมนเนอริสม์
    * จิตรกรรมสมัยใหม่ยุคพัฒนา
ที่มาจาก : wikipedia.org
{[['']]}

งานกระจกสี



           งานกระจกสี (อังกฤษ: Stained glass) คำว่า งานกระจกสี หมายถึงงานที่ใช้กระจกสีตกแต่งหรืองานการทำกระจกสี ซึ่งไม่แต่เฉพาะแต่หน้าต่างเท่านั้น ยังรวมถึงศิลปะอื่นๆ ที่ใช้กระจกสีตกแต่งด้วยเช่น บานกระจกที่ทำเพื่อการตกแต่งโดยเฉพาะ หรือโคมตะเกียงเป็นต้น ตลอดระยะพันปีการตกแต่งด้วยกระจกสีจะหมายถึงหน้าต่างประดับกระจกสีของวัด หรือ มหาวิหารทางคริสต์ศาสนา หรือสิ่งก่อสร้างอื่นๆ การตกแต่งด้วยกระจกสีสมัยเดิมจะแต่งบนแผงแบนสำหรับใช้ทำหน้าต่าง แต่วิธีการตกแต่งด้วยกระจกสีสมัยปัจจุบันจะรวมไปถึงโครงสร้างกระจกสีแบบสาม มิติและงานแกะสลักกระจกสีด้วย และจะรวมไปถึงบานกระจกสีสำหรับที่อยู่อาศัยที่เรียกกันว่า “leadlight” ด้วย หรืองานศิลปะที่ทำจากกระจกสีและเชื่อมต่อกันด้วยตะกั่วอย่างเช่น โคมกระจกสีที่มีชื่อเสียงที่ทำโดย หลุยส์ คอมฟอร์ท ทิฟฟานี (Louis Comfort Tiffany)

           เมื่อพูดถึงวัสดุคำว่า “กระจกสี” โดยทั่วไปจะหมายถึงแก้วที่ทำให้เป็นสีโดยการเติม Metallic salts ระหว่างการผลิต ช่างจะใช้กระจกสีในการสร้าง “หน้าต่างประดับกระจกสี” โดยการเอากระจกสีชิ้นเล็กๆ มาจัดให้เป็นลวดลายหรือภาพภายในกรอบโดยเชื่อมชิ้นกระจกด้วยกันด้วยเส้น ตะกั่ว เมื่อเสร็จแล้วก็อาจจะทาสีและย้อมสีเหลืองตกแต่งอีกเล็กน้อยเพื่อให้ลวดลาย เด่นขึ้น นอกจากนั้นคำว่า “กระจกย้อมสี” (Stained glass) จะหมายถึงหน้าต่างกระจกที่วาดทาสีเสร็จแล้วเผาในเตาหลอมก่อนที่จะทิ้งไว้ให้ เย็น

           “งานกระจกสี” เป็นงานฝีมือที่ศิลปินต้องมีพรสวรรค์ทางศิลปะเพื่อที่จะออกแบบได้ และต้องมีความรู้ทางวิศวกรรมเพี่อ ที่สามารถประกอบบานกระจกที่ทำใว้ให้แน่นหนาภายในกรอบสิ่งก่อสร้าง โดยเฉพาะกระจกบานใหญ่ๆ ที่จะต้องรับน้ำหนักของตัวบานกระจกเองและสามารถทนทานต่อสภาวะอากาศภายนอกได้ หน้าต่างบานใหญ่เหล่านี้ยังอยู่รอดมาให้เราชมบ้างตั้งแต่สมัยยุคกลางโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ในยุโรปตะวันตกหน้าต่าง ประดับกระจกสีเป็นจักษุศิลป์ชนิดเดียวที่เหลือมาตั้งแต่ยุคกลาง จุดประสงค์ของหน้าต่างประดับกระจกสีมิใช่ให้ผู้ดูมองออกไปดูโลกภายนอกหรือ ให้แสงส่องเข้ามาในสิ่งก่อสร้างแต่จะควบคุมผู้อยู่ภายใน จากเหตุผลนี้หน้าต่างประดับกระจกสีจึงอาจจะเรียกได่ว่าเป็น “การตกแต่งผนังส่องแสง” (“illuminated wall decorations”) มากกว่าจะเป็นหน้าต่างอย่างตามความหมายทั่วไปของหน้าต่างที่ใช้มองออกสู่ภาย นอก

           การออกแบบหน้าต่างวัดอาจจะเป็นได้ทั้งอุปมาอุปไมยหรือไม่ก็ได้ หน้าต่างอาจจะเป็นตำนานจากคัมภีร์ไบเบิล ประวัติศาสตร์ หรือ วรรณคดี หรือ ชีวิตของนักบุญ หรือผู้อุปการะวัด หรืออาจจะเป็นลวดลายสัญญลักษณ์ เช่นตราประจำตระกูล การตกแต่งภายในสิ่งก่อสร้างหนึ่งอาจจะเป็นเรื่องราวในหัวข้อเดียวกันเช่นถ้า เป็นวัดก็อาจจะเป็นเรื่องราวชีวประวัติของพระเยซู หรือนักบุญ หรือผู้สร้างวัด ถ้าเป็นภายในวิทยาลัยกระจกอาจจะมีสัญลักษณ์สำหรับศิลปะหรือวิทยาศาสตร์ หรือภายในบ้านอาจจะเป็นลวดลายแบบใดแบบหนึ่งที่เจ้าของเลือก
ที่มาจาก : wikipedia.org
{[['']]}
[ Okay MikeTV ]. ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Translate

 
Support : Creating Website | Johny Template | Mas Template
Copyright © 2011. tonfolk-trick - All Rights Reserved
Template Created by Creating Website Published by Mas Template
Proudly powered by Blogger