Latest Article :
Recent Article

เจย์ ปาร์ค อดีตลีดเดอร์วงทูพีเอ็ม


แฟนเพลงเกาหลีในไทยโชคดีอีกแล้วที่จะได้สัมผัสศิลปินคนโปรด เมื่อ เจย์ ปาร์ค เตรียมบินลัดฟ้ามาเมืองไทยในงานแฟนมีท “เจย์ ปาร์ค เฟิสต์ สเต็ป อิน ไทยแลนด์ 2010” หลังจากประกาศลาออกจากวงทูพีเอ็มไปปีกว่าก็กลับสู่วงการเพลงเกาหลี   อีกครั้งในฐานะศิลปินเดี่ยวกับค่าย   เพลงใหม่ 
    
เจย์ ปาร์ค ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 25 เมษายน ปี พ.ศ. 2530 สูง 170 เซนติเมตร หนัก 60 กิโลกรัม เลือดกรุ๊ปเอ เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลี เพราะเกิดและเติบโตที่เขตเอ็ดมอนต์ส ในเมืองซีแอตเติล รัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา    และเคยเป็นอดีตนักร้องและหัวหน้าวงทูพีเอ็ม นอกจากนี้ เจย์ ปาร์ค พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก ชอบทานแฮม เบอร์เกอร์ มะม่วงอบแห้ง อาหารที่   ไม่ชอบคือ ปลาหมึกสด
    
เจย์ ปาร์ค มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นด้วยดวงตาแบบชาวเอเชียแท้ ริมฝีปากหยักได้รูป นิ้วมือที่เรียวยาว และกล้ามเนื้อที่แสดงให้เห็นถึงการ     ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ตอนเด็ก เจย์ ปาร์ค ใฝ่ฝันว่าอยากเป็นสัตวแพทย์ แต่เขามีความสามารถพิเศษในการเต้นบีบอย ร้องและแต่งท่อนแร็พ ทั้งนี้ เจย์ ปาร์ค ผ่านการ ออดิชั่นที่สหรัฐเพียงคนเดียว โดย ปาร์ค จิน ยอง ประธานบริษัท เจวายพี ได้ชมการออดิชั่นของ เจย์ ปาร์ค ด้วยตนเอง และเป็นคนที่นำตัวเขา    มาที่เกาหลีใต้จากการคัดเลือกทั่วอเมริกา ก่อนรวมกลุ่มเป็นบอยกรุ๊ป
     
แรกเริ่ม เจย์ ปาร์ค เข้าบริษัท เจวายพี เพื่อเป็นนักร้องและเต้นบีบอย เขาเรียนร้องเพลงและภาษาเกาหลีเป็นระยะเวลา 4 ปี อย่างไรก็ตาม เจย์ ปาร์ค บนเวทีการแสดงมักเป็น ที่จดจำในเรื่องของสรีระที่สวยงาม ภายหลังที่เขาประกาศลาออกจากวงทูพีเอ็ม และกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดใน   ซีแอตเติล เจย์ ปาร์ค ใช้เวลาใน การฝึกซ้อมเพิ่มพูนความสามารถด้านดนตรี และออกไปแข่งขันบีบอยในนามของกลุ่มอาร์ต ออฟ มูฟเมนต์
    
นอกจากนั้น เจย์ ปาร์ค ยังมีผลงานภาพยนตร์ 3 มิติเรื่อง ไฮป์ เนชั่น ทรีดี ซึ่งเป็นการร่วมทุนสร้างระหว่างเกาหลีกับอเมริกา ในเรื่อง เจย์ ปาร์ค รับบทเป็นตัวร้ายชื่อ ดาร์คเนสส์ หัวหน้าทีมบีบอยเกาหลีเชาส์ ครู 
    
เจย์ ปาร์ค ในฐานะศิลปินเดี่ยว ออกซิงเกิ้ลแรก เคานท์ ออน มี เป็นการหยิบเพลงฮิต นอร์ตทิน ออน ยู ของ บี.โอ.บี. มาทำใหม่ในเวอร์ชั่นภาษาเกาหลี และตอนนี้มียอดดาวน์โหลดเพลงนี้ในเว็บไซต์ยูทูบกว่าล้านครั้งแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหนุ่ม    เจย์ ปาร์ค ยังเป็นที่รักของแฟนเพลงเหมือนเดิม คอยพบ   กับ “เจย์ ปาร์ค เฟิสต์ สเต็ป อิน ไทยแลนด์ 2010” วันที่ 28 พฤศจิกายนนี้ ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ 3 สยามพารากอน

ขอบคุณที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์
{[['']]}

ฮิคารุ อูทาดะ สาวน้อยมหัศจรรย์


ช็อกไปตาม ๆ กันเมื่อฮิคารุ อูทาดะ นักร้องซูเปอร์สตาร์ของญี่ปุ่นวัย 27 ปี ประกาศแขวนไมค์เลิกร้องเพลงอย่างไม่มีกำหนด โดยเธอให้เหตุผลว่า อยากจะมีชีวิตแบบคนธรรมดา ซึ่งอูทาดะ จะเริ่มหยุดงานเพลงตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป เธอกล่าวด้วยว่า การที่เป็นนักร้องตั้งแต่อายุ 15 ปี จึงถึงจุดอิ่มตัวเร็ว ทำให้อยากใช้ชีวิตแบบคนทั่วไปบ้าง และเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ในโลกกว้าง อย่างไรก็ตาม อูทาดะ ได้ปล่อยอัลบั้มรวมทั้งซิงเกิ้ลฮิตของเธอมาให้แฟนเพลงได้อุดหนุนกันเป็นการ ส่งท้าย
    
อูทาดะ เกิดที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 19 มกราคมปี 2526 และจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ก่อนย้ายกลับมาอยู่ในกรุงโตเกียวของญี่ปุ่นเมื่อปลายปี 2541 และได้ทำสัญญากับยูนิเวอร์ซัล มิวสิค กรุ๊ป อีเอ็มไอ มิวสิค เจแปน ในการออกผลงานเพลง 
    
เธอเป็นนักร้องแนวอาร์แอนด์บี และเจป๊อป ซึ่งเป็นสาวชาวญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในแดนซากุระ ด้วยความสามารถของเธอ ผลงานเพลงเกือบทั้งหมดอูทาดะจะเขียนและเรียบเรียงทำนองด้วยตัวเอง เพียงแค่อัลบั้มแรกเฟิร์สต์ เลิฟ เมื่อปี 2542 ก็ทำให้เธอมีชื่อเสียงแล้ว สามารถทำยอดขายได้สูงถึง 8 ล้านชุด ขึ้นแท่นอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดในญี่ปุ่นตลอดกาล และยังไม่มีใครทำได้จนถึงปัจจุบัน 
    
แนวเพลงของอูทาดะ มักจะเป็นอาร์แอนด์บีหนัก ๆ แต่ปัจจุบันเพลงของเธอจะเป็นแนวป๊อปมากขึ้นจากการปรับปรุงทำนองของเธอเอง ซิงเกิ้ลชุดแรกของเธอที่ประสบความสำเร็จอย่างมากคือ ออโตเมติค/ไทม์ วิล เทล โดยเฉพาะออโตเมติค ได้ทำให้ชื่อของอูทาดะ เป็นที่รู้จักของคนไทยในนามสาวน้อยมหัศจรรย์
    
สาวอูทาดะ ออกอัลบั้มเต็มมาแล้ว 6 ชุด และหนึ่งในนั้นเป็นอัลบั้มเต็มภาษาอังกฤษที่ประสบความสำเร็จในอเมริกา ซิงเกิ้ล 21 ชุด และวิดีโอ/ ดีวีดีอีก 16 ชุด นอกจากนี้ เธอยังได้ร้องเพลงโบลว์ มาย วิสเซิล คู่กับฟ็อกซี่ บราวน์ เพื่อใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง คู่ใหญ่ฟัดเต็มสปีด 2 อีกทั้งเพลงของเธอยังใช้เป็นเพลงประกอบวิดีโอเกมด้วย คือเกมคิงดอม ฮาร์ทส์ 
    
นอกจากนี้ เธอยังเป็นศิลปินเดี่ยวหญิงคนแรกและคนเดียวในญี่ปุ่น ที่มียอดขายรวมมากกว่า 5 แสนแผ่นทั้ง 5 อัลบั้ม ภายในสัปดาห์แรกที่วางขาย อย่างไรก็ตาม แม้เธอประสบความสำเร็จในวงการเพลง แต่อูทาดะ ไม่สมหวังในความรัก เธอแต่งงานกับคิริยะ คาซึอากิ ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 6 กันยายนปี 2545 แต่ได้หย่าร้างกันเมื่อวันที่ 3 มีนาคม  ปี 2550

ขอบคุณที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์
{[['']]}

คุณสมบัติ 50 ข้อ ของละครไทย


คุณสมบัติ 50 ข้อ ของละครไทย
1. ถ้าคุณเป็นคนจน แม้ไม่เคยมีงานทำก็มีเงินกินข้าว และ เปลี่ยนเสื้อผ้าตลอดเรื่อง

2. โฆษณามักจะตัดกับตอนที่นางเอกกำลังถือแก้วกำลังจะจิบยานอนหลับ

3. ตัวละครแต่งหน้าตลอดเวลา แม้กระทั่ง นอนหรือป่วย ขนตาและมาสคาร่ามันโปะเต็มหน้า

4. ไม่พระเอกก็นางเอกจะมีปัญหาครอบครัว

5. พระเอกนางเอกละครไทยจะเริ่มปิ๊งกัน เพียงแค่ล้มทับกัน แต่จ้องตาเป็นประกายประมาน 3วิ ซะทุกเรื่อง นางเอกต้องอยู่ด้านบนด้วยนะ

6. เมื่อหลงป่า ฝนจะตก และเมื่อฝนตก จะเจอกระท่อมหรือถ้ำ และเมื่อเจอกระท่อมหรือถ้ำก็ยั่งว่า...

7. หากพระเอกโดนรุมทำร้าย ท่อนไม้เป็นอาวุธที่นางเอกจะหาได้ทุกที

8. นางร้ายที่มาในชุดแดง จะมีความร้ายระดับนางมาร

9. ตื่นมาละแปรงฟันกันน้อยมาก

10. เรื่องสำคัญอะไรก็ตามที่จะบอกกัน มักโดนตัดบทเสมอ

11. แม้ว่าพระเอกจะจบสูงมาแค่ไหนสุดท้ายก็โง่ได้อย่างมหัศจรรย์ด้วยคำพูดตัวร้าย เรียกได้ว่า พระเอกจะเชื่อทุกเรื่อง นอกจากเรื่องจริง

12. บุหรี่ เหล้า และ ยี่ห้อสินค้าโดนเซ็นเซอร์อย่างไร้สาระ แต่ตอนตบตีกัน ภาพใสแจ๋ว

13. พระเอกแขนเท่ากุ้งสามารถล้มนักเพาะกาย 4-5 คนได้มือเปล่า โดยท่าแรกมักจะเป็นเข้ามาชก และพระเอกปัดมือกัน และ โดนเตะออกไป

14. ร้องไห้หน้ายังสวย

15. เป็นธรรมดาที่จะเห็นตัวละครพูดกับตัวเอง เหมือนคนบ้า ( คิดในใจไม่เป็น )

16. ตัวร้ายมีจุดจบ 3 ประการ ตาย เป็นบ้า และ กลับมาดี ตัวร้ายไม่เคยได้ชดใช้ในสิ่งที่ทำ

17. เมื่อนางเอกปลอมตัวเป็นผู้ชาย พระเอกจะดูออกคนสุดท้าย แม้ว่าคนทั้งโลกจะดูออกตั้งแต่วินาทีเเรก

18. บ้านนกอินทรีย์เป็นสถานที่ยอดนิยมในการถ่ายละคร

19. ยิงปืนไม่เคยโดนกัน ถ้าจะโดนก็โดนหัว ไม่ก็ แขน

20. และตอนตาย หน้าตาจะยังสดสวย แม้ว่าตัวละครนั้นจะยิงสมองตัวเองตาย เลือดยังไม่เปื้อนหน้า แต่จะย้อยลงมาอย่างสวยงาม และนอนในท่าที่สวยหรู

21. นักธุรกิจ มีการประชุมน้อยมาก

22. เลขาหน้าห้องมักสวย และ เป็นสายให้กับนางร้าย

23. ไม่เคยเรียกเก็บเงินหลังจากกินข้าว

24. ท่าเต้นในผับ มีท่าเดียว

25. การตบหน้าด้วยส้นสูงเป็นที่ฮือฮามากในช่วงหนึ่ง ทำให้การตบด้วยมือดูโลโซไปในขณะหนึ่ง

26. เวลาซ่อนตัวจากผู้ร้าย ต้องมีหนึ่งคนเหยียบกิ่งไม้

27. ถุงชอปปิ้ง หรือกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ขนาดไหน จะเบาโหวง เพราะข้างในไม่มีอะไรเลย

28. ตร. หมอ มีอย่างละคน คดีไหน โรค ก็ เจออยู่คนเดียว และ ตำรวจมักจะมาตอนจบ

29. แอบฟังคนพูดกันในห้อง ถึงห้องจะปิดอยู่ก็ได้ยิน

30. พระเอกจะเห็นเสมอเวลา นางเอกจับมือกับผู้ชาย แบบพี่น้องหรือเพื่อน แล้วก็เข้าใจผิด

31. พระเอกต้องมีเลือดกรุปเดียวกับนางเอกหรือ ญาตินางเอก แต่ห้ามบอกเชียวนะ ว่าตัวเองเป็นคนให้เลือด หนังจะจบเร็ว

32. ตอนจบพระเอก นางเอกยืนจับมือ มองหน้าักัน จูบหน้าผาก พ่อแม่ ญาติ พี่น้อง เพื่อน คนใช้.. ยืนแอบดู แล้ว ตบมือ !!!แปะๆๆ

33. คนใช้ หรือลูกจ้างเป็นตัวเดินเรื่อง ประสานช่องโหว่งที่คนดูจะไม่เข้าใจ

34. ตัวละครยังไม่ทันได้พูดความจริงจนหมด ก็ตายไปซะก่อน

35. ช่วงหลัง นางเอกกับนางร้ายจะมีนิสัยใกล้เคียงกัน

36. พระเอกจะหมั้นกับนางร้ายมาเป็นปีๆ แต่ถ้านางเอกโผล่ปุ๊บ นางร้าย มีข้อเสียปั๊บ

37. พ่อพระเอกหรือนางเอก ต้องมีเมียน้อย

38. ต้องมีคนใช้ 2 ฝ่าย ธรรมะ และอธรรม ตีกันเอง

39. ตอนจบอาจจะมีคนใดคนหนึ่งเป็นบ้า ชีจะนั่งบนเตียงผู้ป่วยพร้อมกับตุ๊กตาหนึ่งตัว

40. ตัวประกันถูกจับที่เดียวคือโกดัง และ พระเอกจะมาทันตลอดราวกับว่ามีโกดังที่เดียวในประเทศไทย

41. กระโดดบังกระสุนแทนถือเป็นสุภาพบุรุษที่สุดละ

42. เวลามีคนโทรเข้ามือถือ กล้องต้องซูมเข้าไปให้เห็นชื่อแล้วถึงจะรับโทรศัพท์ได้ เดี๋ยวคนดูไม่รู้ว่าใครโทรมา

43. ฉากงานหมั้นหรือแต่งงาน จะมีคนมาขัดจังหวะ แฉและเปิดโปงความจริง

44. ฉากเลิฟซีนมักจะอยู่ในห้องที่มีเตียงและผ้าหุ่มสีขาว

45. จูบเเล้วต้องตบ ตบแล้วต้องด่า ด่าแล้วต้องวิ่งหนีไป

46. ถ้าเป็นฝาแฝด นางเอกมักจะถูกแยกกันแต่เกิด คนนึงไปอยู่กับมหาเศรษฐี อีกคนอยู่สลัมส์ตกยาก แล้วก็ต้องสลับตัวกัน

47. เวลามีฉากข่มขืน ผญ.จะวิ่งไปล้มบนที่นอน เหมือนจะพร้อมให้ย่ำยีแล้ว

48. พ่อไปดูลูกนอน หรือ พระเอกไปดูนางเอกนอน จะห่มผ้าให้ ถึงห้องนอนจะไม่มีแอร์ หรือไม่ใช่หน้าหนาว

49. ไม่ว่าตัวละครใดๆ ที่เป็นผู้หญิง จะต้องแต่งตัวเวอร์มากๆ ไม่มีคำว่าชุดอยู่บ้าน เครื่องแต่งกายจะต้องเลิศหรูเกินมนุษย์ปกติ

50.ช่อง 3 ตอนจบ ช่อง 7 ตอนอวสาน

ขอบคุณที่มา : www.thaireaderclub.com/
{[['']]}

ดังเพียงชั่วข้ามคืน... ด้วยความสามารถคนละแบบ


หลังจากผ่านพ้นเดือนมิถุนายน 2557 ไปได้เพียงหนึ่งวัน และก้าวเข้าสู่วันแรกของเดือนกรกฏคม 2557 ได้เกิดกระแสความดังของหญิงสาว 2 คนขึ้นมาในเวลาไล่เรี่ยกัน
คนหนึ่งเป็นดาราแต่ใช้รูปสมบัติและสิ่งสงวนเป็นเครื่องมือในการดึงดูความสนใจสื่อมวลชนที่เข้ามาร่วมงาน เพื่อให้เป็นกระแสข่าว (สยามดารา สตาร์ อวอร์ดส์ 2014) โดยสื่อมวลชนที่มาร่วมงานต่างระดมกดชัตเตอร์กันพัลวัน เมื่อหันไปเห็นภาพของดาราสาวคนนั้น

อีกคนเป็นเด็กสาวกำลังเรียนมหาวิิทยาลัยแห่งหนึ่ง ใช้ความสามารถในการพากษ์เสียงการ์ตูนและตัวละครในภาพยนตร์ที่ตัวเองชื่นชอบ ผ่านคลิปที่ตัวเองบันทึกไว้ด้วยความสนุกกับเพื่อนๆ ผ่านโซเชียลมีเดีย
ความเหมือนอย่างหนึ่งในสองเหตุการณ์ข้างต้นคือ ทั้งสองคน "ดังในชั่วข้ามคืน" แต่ความต่างนั้นมีมากมาย... หลังจากเหตุการณ์ผ่านไป หลายคนถามหาความถูกต้องและความเหมาะสมถึงการกระทำของดาราสาวผู้นั้น รวมทั้งความรับผิดชอบต่อสังคมในฐานะที่เธอเป็น "คนของประชาชน" ที่มีเยาวชนเฝ้ามองเธออยู่
ถ้ามองในแง่ความเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล เธอสามารถทำได้ครับ แต่ควรทำในที่รโหฐาน ไม่ใช่ในที่สาธารณะแบบนี้เพราะเธอคือตัวอย่างของเยาวชน ถ้าอยู่ในที่รโหฐานแล้วมีภาพหลุดออกมา คนที่สมควรโดนด่ามากที่สุดก็คือคนที่ถ่ายรูปและคนที่เผยแพร่ เพราะถือว่าละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคล
ดังนั้นสิ่งที่เธอทำในเหตุการณ์ครั้งนี้ ส่วนตัวผมคิดว่าเธอน่าจะออกมาขอโทษประชาชน โดยใช้วิจารณญาณในมุมมองที่มีผลกระทบต่อเยาวชนและสังคมส่วนรวม เพราะการกระทำครั้งนี้ใครๆ ก็ดูออกว่าเป็นการกระทำที่มุ่งแต่ผลในมุมของตัวเอง จนลืมผลกระทบของสังคมที่จะตามมา
ส่วนน้องเจน ที่มีความสามารถพิเศษในการพากษ์เสียงตัวการ์ตูนและตัวละคร ถูกกล่าวถึงในโลกโซเชียลมีเดียเช่นกัน แบบว่าใครได้ดูแล้วเป็นต้องหัวเราะ และ อึ้ง ในความสามารถของเธอทุกคน ถึงขนาดคุณสรยุทธ นักเล่าข่าวชื่อดังช่อง 3 ประกาศตามหาตัวเธอกลางรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ กันเลยทีเดียว




หากความดังสามารถสร้างได้โดยใช้เพียงแค่ร่างกาย และของสงวน โดยไม่มีการคัดค้านใดๆ จากสังคม การกระทำในลักษณะนี้จะมีเกิดขึ้นอีกเป็นร้อยเป็นพัน และถ้าถึงจุดนั้นเมื่อไรสังคมก็จะวิกฤต ยากต่อการเยียวยา...
สุดท้าย อยากวิงวอนให้ทุกท่านช่วยกันส่งเสริมคนดีมีความสามารถอย่างแท้จริง อย่างน้องเจน นักพากษ์หน้าใส (ผมตั้งเอง) ให้ได้รับการเชิดชูและมีโอกาสในสังคมมากขึ้น และอย่าปล่อยให้การสร้างกระแสความดังแบบ "มักง่าย" เป็นตัวบ่อนทำลายเยาชนและสังคมของเราอีกต่อไป
{[['']]}

เพลงวิญญาณ VS เพลง I Won't Give Up



หลังจากอัลบั้มใหม่ของแสตมป์เปิดตัวไปได้ไม่นาน ก็เกิดมีกระแสวิพากษ์วิจารย์จนเป็นเกือบจะเป็นเรื่องดราม่า ในเว็บพันทิพย์ ซึ่งมีการตั้งกระทู้เป็นข้อสังเกตว่า เพลง วิญญาณ ของแสตมป์ นั้นไปลอกเลียนเพลง I Won't Give Up ของ Jason Mraz หรือเปล่า?
ผมเองปกติไม่เคยฟังเพลง I Won't Give Up แต่พอจะรู้เทคนิคและสไตล์การแต่งและร้องของ แสตมป์ อยู่บ้างพอสมควร เมื่อเห็นดราม่าเรื่องดังกล่าวจึงรีบไปหาเพลง I Won't Give Up มาฟังอย่างเร่งด่วนเพื่อเปรียบเทียบกับเพลง วิญญาณของแสตมป์ ฟังอยู่หลายรอบ จนเริ่มจะง่วงนอน
หลังจากฟังเพลงเปรียบเทียบกันอยู่หลายรอบ พอจะสรุปได้คือ เนื้อหาทั้ง 2 เพลงต่างกันอย่างสิ้นเชิง (อันนี้ใครๆ ก็ทราบ และไม่เกี่ยวกับการดราม่าครั้งนี้ แต่ผมอยากบอก..555) 

จังหวะของเพลงหรือ Time Signature ที่ผมพยายามฟังแล้วนับจังหวะตามได้คือ เป็นแบบ 6/4 หรือ 6/8 (อันนี้ต้องดูที่โน๊ตถึงจะฟันธง แต่เป็นจังหวะ 6 แน่ๆ - ถ้าผมนับไม่ผิด) ซึ่งจังหวะ หรือ Time Signature แบบนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในบ้านเราเท่าไร เพราะปกติจะเป็นแบบ 4/4 เสียส่วนใหญ่ จะมีแบบ 3/4 หรือ 2/4 หลุดมาบ้างแต่เป็นแนวเพลงที่ไม่นิยมใช้ในแนวป๊อบหรือ Rock
คีย์ หรือบันไดเสียงที่ใช้ทั้ง 2 เพลงดังกล่าว น่าจะเป็นคีย์เดียวกัน เพราะฟังระดับเสียงแล้วมันเข้ากันได้พอดี (ผมไม่ทราบหรอกว่าเขาใช้คีย์อะไร เพราะเปียโนกับที่ฟังเพลงผมอยู่คนละห้องกัน เลยไม่ได้เทียบเสียง) 

- และสิ่งที่เหมือนกันอีกอย่างคือ ท่อน Hook ที่มีโน๊ตช่วงแรกเหมือนกันประมาณ 4-5 ตัว (ย้ำว่า 4-5 ตัว) ซึ่งในความเป็นจริง มีความเป็นไปได้สูงที่เพลงจะมีโน๊ตซ้ำกันในลักษณะนี้ โดยอาจจะเกิดจากFeeling หรืออาจจะเกิดจาก Line ของโน๊ต และคำที่ใช้ในเพลง ทำให้โน๊ตต้องออกมาแบบนั้น ดังนั้นการที่มีโน๊ตตรงกันเพียง 4-5 ตัว ไม่ถือว่าเป็นการลอกเลียนแบบ  แต่ถ้ามากกว่านี้ต่อให้อมพระมาพูดพี่เสกและป๋าเบิร์ดไม่เชื่อแน่นอน (ไปดึงเขามาเกี่ยวทำไม...?)

เมื่อฟังองค์ประกอบทั้งเพลงของเพลงวิญญาณแล้ว จะมีกลิ่นอายของเพลง  I Won't Give Up อยู่บ้างนิดหน่อย เพราะมีบางอย่างที่เหมือนกันตามที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่นอกนั้นไม่มีอะไรเหมือนกันเลย และเมื่อพิจารณาเนื้อเพลงที่ถ่ายทอดออกมา ต่อให้ใครร้องก็ต้องเดาออกทันทีว่าเพลงนี้แสตมป์เป็นคนแต่ง โดยดูที่การใช้คำในเนื้อเพลง เพราะแสตมป์จะมีเอกลักษณ์ในการใช้คำในการแต่งเพลงที่ชัดเจนมาก ถ้าท่านได้ดูวีดีโอคอนเสิร์ต "ว่านควบแสตมป์" ใน YouTube ช่วงที่ทั้งสองคนออกมาเล่นกัน ก็จะเห็นภาพตามที่ผมอธิบายทันที
สรุปงานนี้ไม่ใช่เป็นการลอกเลียนแบบ แต่เพลง I Won't Give Up อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจที่ไม่ได้ตั้งใจ เพราะเป็นเพลงที่แสตมป์เคยฟังบ่อยๆ จึงทำให้เมโลดี้ติดอยู่ในหัวมาก็เป็นได้

เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์... ลองฟังเปรียบเทียบกันดูเอาเองนะครับ
{[['']]}

The Love Machine วงล้อ...ลุ้นรัก | 5 ตุลาคม 2558 [FULL] [HD]



TheLoveMachine วงล้อ...ลุ้นรัก💕💕💕
💌 เดทติ้งเกมโชว์สุดฮิตจากหลายประเทศ
💍 รายการที่ให้คุณหมุนวงล้อลุ้นรักจนเจอคนที­่ใช่ และเลือกในแบบที่คุณชอบ
📺 ออกอากาศทุกวันจันทร์ 23:20น. ช่อง3,ช่อง3HD
📞 สมัครร่วมรายการโทร 083-009-9097
#‎TheLoveMachineTH #‎CH3
{[['']]}

จิตรกรรมและการจำแนก



จิตรกรรม เป็นงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการวาด ระบายสี และการจัดองค์ประกอบความงามอื่น เพื่อให้เกิดภาพ 2 มิติ ไม่มีความลึกหรือนูนหนา จิตรกรรมเป็นแขนงหนึ่งของทัศนศิลป์ ผู้ทำงานจิตรกรรม มักเรียกว่า จิตรกร
          จอห์น แคนาเดย์ (John Canaday) ได้ให้ความหมายของจิตรกรรมไว้ว่า จิตรกรรม คือ การระบายชั้นของสีลงบนพื้นระนาบรองรับ เป็นการจัดรวมกันของรูปทรง และ สีที่เกิดขึ้นจากการเตรียมการของศิลปินแต่ละคนในการเขียนภาพนั้น พจนานุกรมศัพท์ อธิบายว่า เป็นการสร้างงานทัศนศิลป์บนพื้นระนาบรองรับ ด้วยการ ลาก ป้าย ขีด ขูด วัสดุ จิตรกรรมลงบนพื้นระนาบรองรับ
          ภาพจิตรกรรมที่เก่าแก่ที่สุดที่เป็นที่รู้จักอยู่ที่ถ้ำ Chauvet ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนอ้างว่ามีอายุราว 32,000 ปีเป็นภาพที่สลักและระบายสีด้วยโคลนแดงและสีย้อมดำ แสดงรูปม้า แรด สิงโต ควาย แมมมอธ หรือมนุษย์ ซึ่งมักจะกำลังล่าสัตว์
การจำแนก
จำแนกได้ตามลักษณะผลงานที่สิ้นสุด และ วัสดุอุปกรณ์การสร้างสรรค์เป็น 2 ประเภท คือ ภาพวาด และ ภาพเขียน
    * จิตรกรรมภาพวาด (Drawing) จิตรกรรมภาพวาด เรียกเป็นศัพท์ทัศนศิลป์ภาษาไทยได้หลายคำ คือ ภาพวาดเขียน ภาพวาดเส้น หรือบางท่านอาจเรียกด้วยคำทับศัพท์ว่า ดรอวิ้ง ก็มี ปัจจุบันได้มีการนำอุปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ใช้ในการเขียนภาพและวาดภาพ ที่ก้าวหน้าและทันสมัยมากมาใช้ ผู้เขียนภาพจึงจึงอาจจะใช้อุปกรณ์ต่างๆมาใช้ในการเขียนภาพ ภาพวาดในสื่อสิ่งพิมพ์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ภาพวาดลายเส้น และ การ์ตูน
    * จิตรกรรมภาพเขียน (Painting) ภาพเขียนเป็นการสร้างงาน 2 มิติบนพื้นระนาบด้วยสีหลายสีซึ่งมักจะต้องมีสื่อตัวกลางระหว่างวัสดุกับ อุปกรณ์ที่ใช้เขียนอีก ซึ่งกลวิธีเขียนที่สำคัญ คือ
   1.
         1. การเขียนภาพสีน้ำ (Colour Painting)
         2. การเขียนภาพสีน้ำมัน (Oil Painting)
         3. การเขียนภาพสีอะคริลิค (Acrylic Painting)
         4. การเขียนจิตรกรรมฝาผนัง (Fresco Painting)
         5. จิตรกรรมแผง(Panel Painting)
จำแนกตามยุคสมัยและแหล่งสร้างสรรค์ เช่น
    * จิตรกรรมไทย
    * จิตรกรรมยุคกอธิค
    * จิตรกรรมยุคบาโรก
    * จิตรกรรมยุคอิมเพรสชันนิสม์
    * จิตรกรรมยุคอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง
    * จิตรกรรมยุคเนเธอร์แลนด์ตอนต้น
    * จิตรกรรมยุคเรอเนซองส์
    * จิตรกรรมยุคแมนเนอริสม์
    * จิตรกรรมสมัยใหม่ยุคพัฒนา
ที่มาจาก : wikipedia.org
{[['']]}

งานกระจกสี



           งานกระจกสี (อังกฤษ: Stained glass) คำว่า งานกระจกสี หมายถึงงานที่ใช้กระจกสีตกแต่งหรืองานการทำกระจกสี ซึ่งไม่แต่เฉพาะแต่หน้าต่างเท่านั้น ยังรวมถึงศิลปะอื่นๆ ที่ใช้กระจกสีตกแต่งด้วยเช่น บานกระจกที่ทำเพื่อการตกแต่งโดยเฉพาะ หรือโคมตะเกียงเป็นต้น ตลอดระยะพันปีการตกแต่งด้วยกระจกสีจะหมายถึงหน้าต่างประดับกระจกสีของวัด หรือ มหาวิหารทางคริสต์ศาสนา หรือสิ่งก่อสร้างอื่นๆ การตกแต่งด้วยกระจกสีสมัยเดิมจะแต่งบนแผงแบนสำหรับใช้ทำหน้าต่าง แต่วิธีการตกแต่งด้วยกระจกสีสมัยปัจจุบันจะรวมไปถึงโครงสร้างกระจกสีแบบสาม มิติและงานแกะสลักกระจกสีด้วย และจะรวมไปถึงบานกระจกสีสำหรับที่อยู่อาศัยที่เรียกกันว่า “leadlight” ด้วย หรืองานศิลปะที่ทำจากกระจกสีและเชื่อมต่อกันด้วยตะกั่วอย่างเช่น โคมกระจกสีที่มีชื่อเสียงที่ทำโดย หลุยส์ คอมฟอร์ท ทิฟฟานี (Louis Comfort Tiffany)

           เมื่อพูดถึงวัสดุคำว่า “กระจกสี” โดยทั่วไปจะหมายถึงแก้วที่ทำให้เป็นสีโดยการเติม Metallic salts ระหว่างการผลิต ช่างจะใช้กระจกสีในการสร้าง “หน้าต่างประดับกระจกสี” โดยการเอากระจกสีชิ้นเล็กๆ มาจัดให้เป็นลวดลายหรือภาพภายในกรอบโดยเชื่อมชิ้นกระจกด้วยกันด้วยเส้น ตะกั่ว เมื่อเสร็จแล้วก็อาจจะทาสีและย้อมสีเหลืองตกแต่งอีกเล็กน้อยเพื่อให้ลวดลาย เด่นขึ้น นอกจากนั้นคำว่า “กระจกย้อมสี” (Stained glass) จะหมายถึงหน้าต่างกระจกที่วาดทาสีเสร็จแล้วเผาในเตาหลอมก่อนที่จะทิ้งไว้ให้ เย็น

           “งานกระจกสี” เป็นงานฝีมือที่ศิลปินต้องมีพรสวรรค์ทางศิลปะเพื่อที่จะออกแบบได้ และต้องมีความรู้ทางวิศวกรรมเพี่อ ที่สามารถประกอบบานกระจกที่ทำใว้ให้แน่นหนาภายในกรอบสิ่งก่อสร้าง โดยเฉพาะกระจกบานใหญ่ๆ ที่จะต้องรับน้ำหนักของตัวบานกระจกเองและสามารถทนทานต่อสภาวะอากาศภายนอกได้ หน้าต่างบานใหญ่เหล่านี้ยังอยู่รอดมาให้เราชมบ้างตั้งแต่สมัยยุคกลางโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ในยุโรปตะวันตกหน้าต่าง ประดับกระจกสีเป็นจักษุศิลป์ชนิดเดียวที่เหลือมาตั้งแต่ยุคกลาง จุดประสงค์ของหน้าต่างประดับกระจกสีมิใช่ให้ผู้ดูมองออกไปดูโลกภายนอกหรือ ให้แสงส่องเข้ามาในสิ่งก่อสร้างแต่จะควบคุมผู้อยู่ภายใน จากเหตุผลนี้หน้าต่างประดับกระจกสีจึงอาจจะเรียกได่ว่าเป็น “การตกแต่งผนังส่องแสง” (“illuminated wall decorations”) มากกว่าจะเป็นหน้าต่างอย่างตามความหมายทั่วไปของหน้าต่างที่ใช้มองออกสู่ภาย นอก

           การออกแบบหน้าต่างวัดอาจจะเป็นได้ทั้งอุปมาอุปไมยหรือไม่ก็ได้ หน้าต่างอาจจะเป็นตำนานจากคัมภีร์ไบเบิล ประวัติศาสตร์ หรือ วรรณคดี หรือ ชีวิตของนักบุญ หรือผู้อุปการะวัด หรืออาจจะเป็นลวดลายสัญญลักษณ์ เช่นตราประจำตระกูล การตกแต่งภายในสิ่งก่อสร้างหนึ่งอาจจะเป็นเรื่องราวในหัวข้อเดียวกันเช่นถ้า เป็นวัดก็อาจจะเป็นเรื่องราวชีวประวัติของพระเยซู หรือนักบุญ หรือผู้สร้างวัด ถ้าเป็นภายในวิทยาลัยกระจกอาจจะมีสัญลักษณ์สำหรับศิลปะหรือวิทยาศาสตร์ หรือภายในบ้านอาจจะเป็นลวดลายแบบใดแบบหนึ่งที่เจ้าของเลือก
ที่มาจาก : wikipedia.org
{[['']]}

การสร้างและการประกอบ การทำแก้วชนิดต่างๆ


การทำแก้วชนิดต่างๆ

          “แก้วหลอด” (Cylinder glass) แก้วหลอดทำจากแก้วเหลวที่ทำเป็นลูกกลมๆ แล้วเป่าจนกระทั่งเป็นหลอดกลวงเหมือนขวด เรียบและหนาเท่ากัน พอได้ที่ก็ตัดออกจากท่อเป่า แผ่ออกไปให้แบน แล้วรอให้เย็นลงเพื่อความทนทาน แก้วชนิดนี้เป็นแก้วชนิดที่ใช้ประดับหน้าต่างกระจกสีที่เราเห็นกันทุกวันนี้

          “แก้วมงกุฏ” (Crown glass) แก้วชนิดนี้จะเป่าเป็นทรงถ้วยแล้ววางบนโต๊ะหมุนที่สามารถหมุนได้เร็ว แรงเหวี่ยงของการหมุนทำให้แก้วแผ่ยืดออกไป จากนั้นก็เอาตัดเป็นแผ่นเล็กๆ ได้ แก้วชนิดนี้ใช้ในการประดับหน้าต่างกระจกสี แต่ส่วนใหญ่แล้วจะใช้แต่งกรอบเล็กๆภายในหน้าต่างของที่อยู่อาศัยในคริสต์ ศตวรรษที่ 16 และ 17 ลักษณะของกระจกแบบนี้จะเป็นระลอกจากศูนย์กลาง เพราะตรงกลางกระจกจะได้แรงเหวี่ยงน้อยที่สุดทำให้หนากว่าส่วนอื่น ชิ้นกลางนี้จะใช้สำหรับสเปชเชียลเอฟเฟกต์เพราะความขรุขระของพื้นผิวทำให้ สะท้อนแสงได้มากกว่าชิ้นอื่น กระจกชิ้นนี้เรียกว่า “กระจกตาวัว” [1] (bull's eye) มักจะใช้กันสำหรับที่อยู่อาศัยในศตวรรษที่ 19 และบางครั้งก็จะใช้ในวัดด้วย

          “แก้วโต๊ะ” (Table glass) ผลิตโดยการเทแก้วเหลวลงบนโต๊ะโลหะแล้วกลึงด้วยท่อนโลหะที่เป็นลวดลาย ลายจากท่อนโลหะก็จะฝังบนผิวกระจก แก้วแบบนี้จึงมีแบบมีผิว ( texture) หนักเพราะการที่แก้วมีปฏิกิริยาต่อโลหะเย็น แก้วชนิดนี้เป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบันภายในสิ่งก่อสร้างที่ไม่ใช่สิ่งก่อ สร้างทางศาสนาในชื่อที่เรียกกันว่า “cathedral glass” ถึงแม้จะไม่ใช่แก้วที่ใช้ในการสร้างมหาวิหารในสมัยโบราณแต่มาใช้กันมากในการสร้างวัดในศตวรรษที่ 20

          “แก้วเคลือบ” (Flashed glass) แก้วสีแดงที่ทำจากเบ้าโลหะที่กล่าวข้างต้นสีแดงมักจะออกมาไม่ได้อย่างที่ ต้องการจะออกไปทางดำ และราคาการผลิตก็สูงมาก วิธีใหม่ที่ใช้ทำสีแดงเรียกว่า “flashing” ทำโดยเอา “แก้วหลอด” ใสที่ไม่มีสีที่กึ่งเหลวจุ่มลงไปใหนเบ้าแก้วแดงแล้วยกขึ้น แก้วแดงก็จะเกาะบนผิวแก้วใสที่ไม่มีสีบางๆ พอเสร็จก็ตัดออกจากที่เป่า แล้วแผ่ให้แบนและปล่อยไว้ให้เย็น

          วิธีการเคลือบนี้มีประโยชน์หลายอย่างเพราะทำให้สามารถทำสีแดงได้หลายโทน ตั้งแต่แดงคล้ำจนเกือบใส แต่ส่วนใหญ่จะใช้สีแดงทับทิมจนถึงสีแดงจางหรือแดงเป็นริ้วในการทำขอบบางๆ ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งคือเมื่อแก้วสีแดงเป็นสองชั้นก็สามารถสกัดผิวสีแดงออก เพื่อให้แสงส่องผ่านส่วนที่ใสที่อยู่ภายใต้ได้ เมื่อปลายสมัยปลายยุคกลางวิธีนี้ใช้ในการตกแต่งลวดลายที่วิจิตรของเสื้อคลุมของนักบุญ ประโยชน์อย่างที่สามซึ่งใช้กันมากในบรรดาศิลปินเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 โดยแผ่นกระจกจะสะท้อนออกมาเป็นสีที่ไม่เสมอกันจึงเหมาะแก่การการตกแต่งเสื้อ คลุมหรือม่าน
ที่มาจาก : wikipedia.org

{[['']]}

ภาพศิลปะเศษวัสดุธรรมชาติ


ประวัติความเป็นมา

        ภูมิปัญญาภาพศิลปะจากเศษวัสดุธรรมชาติ ได้เกิดขึ้นจากความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของ นายก้าน เสวกผล โดยได้เผลิตภัณฑ์ที่ประดิษฐ์จากเศษดอกไม้ เปลือกไม้ ขี้เลื่อย ในลักษณะของภาพสามมิติเป็นสินค้า OTOP ระดับภาค ของจังหวัดฉะเชิงเทราจากการนำเอาเศษดอกไม้ที่หล่นตามข้างทางที่คนไม่เห็นคุณค่า เช่น ดอกไม้,เศษวัสดุ เหล่านั้น มาสร้างสรรค์ให้กลายเป็นวัสดุภาพศิลป์ได้ ในขั้นตอนการผลิต อันดับแรกต้องรักในงานศิลปะอย่างแท้จริง ใจเย็น มีความละเอียดอ่อนทุกขั้นตอน โดย เริ่มต้นการร่างแบบภาพและมองหาวัสดุตามลักษณะของภาพที่กำหนด เช่น หากเป็นภาพต้นไม้ ก็จะต้องใช้เปลือกไม้มาประดิษฐ์ เมื่อได้วัสดุที่ต้องการแล้ว นำมาผ่านกระบวนการต้ม ล้าง ย้อมสี อบ จึงนำมาบรรจงเรียงและติดตามลงบนแผ่นเฟรมตามภาพที่ร่างไว้ แล้วนำไม่ที่ไม่ใช้แล้วเช่นกัน มาผ่านขบวนการเช่นเดียวกับวัสดุธรรมชาติทำเป็นกรอบรูปที่สวยแปลกเป็นธรรมชาติ ซึ่งเป็นวิถีไทยที่ประดิษฐ์ด้วยเศษดอกไม้,วัสดุแห้ง ที่สวยงามไม่เหมือนใคร นอกจากนั้นยังนำผ้าลายไทยโบราณ มารังสรรค์แต่งเติมให้มีคุณค่า โดยสนับสนุนฝึกอาชีพพัฒนาฝีมือของกลุ่มสมาชิก นำมาซึ่งรายได้ให้กับชุมชนอีกด้วย

สถานที่ตั้ง

        กลุ่มภาพศิลปะจากเศษวัสดุธรรมชาติ ในปี 2546 ให้ชื่อว่า “คุ้มบุญส่ง” ตั้งอยู่ หมู่ 2 ตำบลบางขนาก อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นที่ผลิตภาพฯ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ของนักเรียน นักศึกษา ประชาชนที่ทราบจากการประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และการบอกต่อ

ขั้นตอนในการผลิตมีดังนี้


        1. การกำหนดแบบของภาพ ร่างภาพด้วยดินสอ 
        2. เลือกวัสดุธรรมชาติให้เหมาะสมกับภาพ 
        3. นำวัสดุธรรมชาติที่ได้ผ่านกระบวนการ ต้ม ย้อม อบ ตาก 
        4. นำวัสดุธรรมชาติมาบรรจงเรียง เติมแต่งภาพ ซึ่งเป็นภาพลักษณะนูน หรือ 3 มิติ นำภาพที่ตกแต่งแล้วอัดด้วยกาวให้แห้ง เพื่อให้การใช้งานคงทนถาวรยิ่งขึ้น 
        5. นำภาพมาใส่ด้วยกรอบไม้ ไม้ที่นำมาใส่ จะเป็นไม้เก่าที่ไม่ได้ใช้แล้ว นำมาทำความสะอาดตกแต่งด้วยสี หรือกรอบที่ทำด้วยผ้าลายไทย,ผ้าไหม ที่แสดงความหมายของความเป็นไทยอยู่ในตัว 
        ความรู้งานด้านศิลปะ เป็นกระบวนการที่ถ่ายทอดโดยภูมิปัญญา จะส่งผลสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา ค้นคว้า บางเรื่องถูกถ่ายทอดจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ศาสนา ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรมการแต่งกาย ตลอดจนการละเล่นพื้นเมืองต่าง ๆ ของแต่ละยุคสมัย 
        ภาพศิลปะ ให้ความรู้สึกในความเป็นธรรมชาติ อันบริสุทธิ์น่าชื่นชม เสริมสร้างสุนทรีภาพขึ้นในจิตใจของมนุษย์ โดยเฉพาะ งานศิลปะไทยแบบประเพณี (Thai Traditional Art) ที่แสดงออกถึงความประณีตสวยงาม แสดงความรู้สึกชีวิตจิตใจและความเป็นไทยที่ความอ่อนโยนละมุนละไม สร้างสรรค์สืบต่อกันมาตั้งแต่อดีต จนได้ลักษณะประจำชาติ 
        นอกจากการผสมผสานองค์ความรู้ และความรู้สึกใต้จิตสำนึกของภูมิปัญญาดังได้กล่าว ภูมิปัญญายังมองเห็นคุณค่าของสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น นำมาประยุกต์ใช้กับภาพ เพื่อการถ่ายทอด ภาพนั้นให้ออกมาเป็นลักษณะเฉพาะ แต่ความหมายและคุณค่าของภาพ ไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นรูปแบบอุดมคติที่แสดงออกทางความคิดให้ความสัมพันธ์กับเนื้อเรื่องและความสำคัญของภาพ ซึ่งภูมิปัญญา พยายามศึกษา ถ่ายทอดอารมณ์สอดแทรกความรู้สึกในรูปแบบได้อย่างลึกซึ้ง เหมาะสม สวยงาม เป็นเอกลักษณ์ที่น่าภาคภูมิใจ และควรอนุรักษ์สืบทอดอย่างยิ่ง

ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาภูมิปัญญาภาพศิลปะจากเศษวัสดุธรรมชาติ


        1. ปัจจัยจากสภาพทางภูมิศาสตร์ ในชุมชนตำบลบางขนากเป็นทุ่งนาโล่ง ติดลำคลองตลอดสาย มีบ้านห่างเป็นระยะ ๆ ตลอดลำคลอง เต็มไปด้วยพืชพันธุ์ไม้หลากหลายชนิดที่ประชาชนปลูกไว้เพื่อกิน และสิ่งแวดล้อมธรรมชาติที่มีอยู่ในท้องถิ่น เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภาพศิลปะ จากบรรยากาศสภาพแวดล้อมดังกล่าว เป็นสิ่งเอื้อให้ ภูมิปัญญา ซึ่งมีโลกทัศน์ของตนเองสูงอยู่แล้ว เกิดแรงบันดาลให้เขาจิตนาการขึ้นมาเป็นภาพศิลปะวิถีชีวิตสังคมชน 
        2. ปัจจัยจากสภาพเศรษฐกิจและสังคมของชุมชน ชุมชนตำบลบางขนาก เป็นชุมชนที่ประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม เมื่อพ้นจากฤดูเก็บเกี่ยว ประชาชนส่วนใหญ่จะว่างจากงาน จึงไม่มีรายได้ ความยากจนจึงมีอยู่ทั่วไป รายได้ไม่สมดุลกับรายจ่าย ต่อตนเอง,ครอบครัว จึงทำให้ต้องดิ้นรนหารายได้เสริม เพื่อความอยู่รอดของตนเอง,ครอบครัว กลุ่มภาพศิลปะจากเศษวัสดุธรรมชาติ จึงทำให้รายได้เกิดขึ้นในชุมชน การหมุนเวียนทางเศรษฐกิจเกิดขึ้น 
        3. ปัจจัยที่เกิดจากภูมิปัญญาผสมผสาน จากสิ่งที่ได้รับจาก ความเป็นสังคมชนบท การดำเนินวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมตามบรรพบุรุษสืบสานต่อกันมา ซึ่งกลุ่มภาพศิลปะจากเศษวัสดุธรรมชาติ เป็นการนำความรู้ด้านศิลปะจากการเรียนรู้ในสถาบัน กับความรู้ในการดำเนินชีวิตที่มีความผูกพันกับท้องถิ่นและได้สืบต่อกันเรื่อยมา ความเป็นชนบท การแสดงออกถึงรากฐานชีวิตชนบทไทย เป็นตัวแทนสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมชนบทไทย ซึ่งกำลังจะถูกแทนที่ด้วยโลกของโลกาภิวัต ภาพชีวิตท้องทุ่งนาของวันวาน บางคนอาจหลงลืมถ้าปล่อยให้มันผ่านไปแล้ว แต่ศิลปิน(ภูมิปัญญา) จะเป็นผู้ “เก็บ” บางสิ่งบางอย่างของวันวาน นั้นไว้ได้ ถึงแม้จะไม่มีวันหยุดเอากาลเวลากลับคืนมาก็ตาม ที่หลายสิ่งหลายอย่างของวันวาน เป็นความผูกพัน เป็นรากฐานชีวิตของปัจจุบันทั้งสิ้น 
        4. ปัจจัยที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นปัจจัยภายนอกที่สำคัญ คือ การได้รับการส่งเสริม สนับสนุนจากองค์กรภาครัฐ และภาคเอกชน ร่วมกับผู้นำท้องถิ่น ทำให้ภูมิปัญญาได้รับการเผยแพร่ จนได้รับรางวัล เป็นผลิตภัณฑ์สี่ดาว และ ผลิตภัณฑ์ OTOP ของจังหวัดฉะเชิงเทรา ทำให้สามารถพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง

คุณค่าภูมิปัญญา

        ภูมิปัญญาที่นำเสนอเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน ในงานด้านศิลปะ ภาพประดิษฐ์ ซึ่งไม่ใช่เพียงรูปทรงแต่มี เรื่องราว ,จิตวิญญาณของศิลปินแฝงอยู่ในผลงานนั้น ๆ ด้วย และสามารถอธิบายที่มาทางวัฒนธรรม ซึ่งกันและกันอีกด้วย คุณค่างานด้านศิลปะ แยกได้ดังนี้ 
        1.ศิลปะ เป็นสื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันทางวัฒนธรรม ,ศิลปกรรมและขนบธรรมเนียมประเพณี 
        2.ศิลปะ เป็นสื่อสะท้อนสภาพทางสังคม และยกระดับ ค่านิยมของสังคม ให้เจริญสูงขึ้น 
        3.ศิลปะ จะช่วยสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดอารมณ์สุนทรียภาพ ทำให้มีความเพลิดเพลิน เกิดความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนดีงาม ทำให้จิตใจและอารมณ์เจริญงอกงามในทางที่ดี อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

คุณค่าที่แฝงอยู่ในภูมิปัญญาจากภาพศิลปะ

        คือ เป็นแหล่งข้อมูล ความรู้ในการศึกษาค้นคว้า และถ่ายทอดปัญญาที่เด็ก ,เยาวชน คนไทยควรเรียนรู้ พัฒนาและเลือกประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับสภาพสังคมและโลกที่แปรเปลี่ยนไปด้วยเทคโนโลยีแล้ว ข้อมูลที่ค้นคว้ามาอย่างละเอียดจากหลายแหล่ง ภาพประกอบรายละเอียดของคนและสิ่งของในภาพส่วนใหญ่ถ่ายทอดตามสภาพความเป็นจริง จึงนำเสนอคุณค่าภูมิปัญญาไทยโดยผสมผสานวัสดุธรรมชาติในท้องถิ่น 
        ภาพที่นำเสนอได้เผยให้เห็นคุณค่าของภูมิปัญญาที่แฝงอยู่ในวิถีชีวิตคนไทย โดยเฉพาะ ภูมิปัญญาที่เกี่ยวเนื่องกับความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ เป็นภูมิความรู้ที่ถูกค้นพบ สร้างสรรค์ ทดลองใช้ ดัดแปลง ถ่ายทอดเป็นมรดกที่เปี่ยมด้วยคุณค่าทางปัญญาของคนไทย

ภูมิปัญญาสะท้อนวิถีชีวิต


        จากความพยายามของภูมิปัญญาภาพศิลปะจากเศษวัสดุธรรมชาติที่ได้พัฒนาหรือจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ท้องถิ่น ผสมผสานกับความดั้งเดิม สามารถสร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชน เป็นการฟื้นฟูคุณค่าของศิลปะแขนงใหม่ ให้มีบทบาทในรูปแบบที่แตกต่างไปจากงานศิลปะที่มีอยู่เดิมจะสะท้อนวิถีชีวิตดังนี้ 
        1.สะท้อนวิถีชีวิตดั้งเดิม ที่ถ่ายทอดเป็นภาพศิลปะออกมาดังนี้ 
        - ส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจถึงรกฐานทางวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี 
        - สื่อถึงประวัติความเป็นมาและวัฒนธรรมรากเหง้าของวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาติไทย 
        - สื่อให้เห็นถึงภาพแห่งความหลัง วิถีชีวิตของสังคมชนบท 
        2.สะท้อนวิถีชีวิตปัจจุบัน 
        - ทำให้ประชาชนในท้องถิ่นมีอาชีพ มีรายได้ทำให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 
        - เด็ก,เยาวชนในท้องถิ่น ได้รับความรู้ จากงานศิลปะ 
        - ทำให้ประชาชนในท้องถิ่นมีความรักสามัคคี และภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตนที่สามารถสร้างชื่อเสียง จากรางวัลที่ได้รับจากสถาบัน,หน่วยงานต่าง ๆ 
        - เป็นแหล่งเรียนรู้ ในงานศิลปะและแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม ในตำบลบางขนาก อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา 
        ในที่นี้จะให้ข้อสังเกตว่า การประยุกต์ภูมิปัญญาชาวบ้านตามแนวคิดเรื่องคุณค่าและมูลค่านี้น่าจะมีความเหมาะสมอย่างยิ่งกับสิ่งที่เป็นรูปธรรม เช่น งานภาพศิลปะจากเศษวัสดุธรรมชาติ ที่มีคุณค่าความหมายของภาพ ทางประวัติศาสตร์ ฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนมีคุณค่าและพร้อมที่แปรเป็นมูลค่ามีการจัดการที่เหมาะสม 
        เห็นได้ว่างานภาพศิลปะจากเศษวัสดุธรรมชาติ สะท้อนคุณค่าให้เป็นมูลค่า เป็นเครื่องตกแต่งบ้านที่มีคุณค่า ได้ช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ผลิตและสร้างเศรษฐกิจให้แก่ชุมชนอย่างกว้างขวาง ชุมชน มีความรักสามัคคีในท้องถิ่นของตนมากยิ่งขึ้น และเกิดความภาคภูมิใจในภูมิปัญญาที่คนในชุมชนสร้างสรรค์ขึ้นมา
{[['']]}

สัตว์เลี้ยง สัญญาณเตือนภัย โรคหัวใจ ในสัตว์เลี้ยง



"หัวใจ" ถือเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในร่างกายของสัตว์เลี้ยง เพราะหากหัวใจหยุดทำงาน ทุกชีวิตต้องตาย หน้าที่สำคัญของหัวใจคือ สูบฉีดเลือดเพื่อนำออกซิเจนสารอาหารต่าง ๆ ผ่านทางหลอดเลือดไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย ความผิดปกติที่เกิดกับหัวใจ ส่วนใหญ่มักจะทำให้การบีบตัวของหัวใจลดลง

          โรคหัวใจที่พบในสัตว์เลี้ยงสามารถพบได้เช่นเดียวกับในคน คือสามารถพบได้ตั้งแต่เกิด (พบน้อย) หรือพบภายหลังตามมา ซึ่งโดยทั่วไปมักพบว่าโรคหัวใจมีการพัฒนาขึ้นในช่วงกลางชีวิต โรคหัวใจที่เกิดขึ้นภายหลัง (Acquired Heart Disease) เป็นลักษณะที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะสัตว์ที่มีอายุมาก
          โรคหัวใจแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก ๆ ได้แก่ ความผิดปกติของลิ้นหัวใจ และความผิดปกติที่กล้ามเนื้อหัวใจ สัตว์เลี้ยงที่ป่วยด้วยโรคหัวใจสามารถควบคุมอาการของโรคได้ ด้วยการให้อาหารที่ถูกต้องการออกกำลังกาย และการใช้ยาโรคหัวใจ ด้วยการเลือกใช้อาหารที่ถูกต้องร่วมกับคำแนะนำของสัตวแพทย์ จะช่วยให้สัตว์เลี้ยงมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและมีความสุขภาพแข็งแรง


       โรคหัวใจแบ่งเป็น 2 ชนิดหลัก ๆ
       1. โรคลิ้นหัวใจรั่ว
          "โรคลิ้นหัวใจรั่ว" เป็นความผิดปกติที่ลิ้นหัวใจ โดยมีการปิดไม่ดี ทำให้มีการรั่วไหลย้อนของเลือด ส่งผลทำให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ ซึ่งเป็นความผิดปกติที่พบบ่อยในสุนัข

       2. โรคของกล้ามเนื้อหัวใจ
          อาการผิดปกตินี้จะเกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อหัวใจเกิดการหนาตัว (ซึ่งพบบ่อยในแมว) หรือที่เรียกว่า Hypertrophic Cardiomyopathy (HCM) หรือความผิดปกติกล้ามเนื้อหัวใจอีกชนิด คือผนังกล้ามเนื้อหัวใจบางกว่าปกติและมีความอ่อนแอ ที่เรียกว่า Dilated Cardiomyopathy (DCM) มีผลให้การบีบตัวของหัวใจลดลง (ซึ่งกรณีนี้มักพบในสุนัข) ในสุนัขหรือแมวจะเป็นตรงกันข้ามกัน

          โรคหัวใจทั้งสองชนิด จะค่อยพัฒนาขึ้นโดยใช้ระยะเวลา แต่ผลในที่สุดคือ ก่อให้เกิดภาวะที่มีความรุนแรงต่อการทำงานของหัวใจที่เรียกว่า "หัวใจล้มเหลว" (Heart Failure) เกิดหัวใจวายและเสียชีวิตในที่สุด

          นอกจากโรคหัวใจ 2 ชนิดดังกล่าว อาจพบโรคหัวใจชนิดอื่น อีกได้แต่พบไม่บ่อยนักเช่นโรคพยาธิหนอนหัวใจมีพาหะมาจากยุงกัดพบได้ทั้งใน สุนัขและแมว แต่ในปัจจุบันเจ้าของสัตว์เลี้ยง มีความเข้าใจ และป้องกันมากขึ้น ทำให้โอกาสพบน้อยลง หรือในแมวที่มักพบโรคหลอดเลือดอุดตันในแมว (Feline Aortic Thromboembolism) ทำให้เกิดลิ่มเลือดไปอุดตันตามขา เกิดอัมพาตตามมา เกิดเนื้อตายที่กล้ามเนื้อขา ในที่สุดขาจะเป็นเนื้อตาย มีการติดเชื้อ เพราะเกิดจากการขาดออกซิเจนแต่มักเป็นผลตามมาจากโรคหัวใจในแมวอีกที เป็นต้น


       จะทราบได้อย่างไรว่า สัตว์เลี้ยงเป็นโรคหัวใจ
          อาการของโรคหัวใจนั้นบ่งบอกได้ยาก เพราะมักคล้ายคลึงกับความผิดปกติของโรคอื่น อาการค่อนข้างผันแปร หรือไม่แน่นอน อาจจะพบได้ตั้งแต่ประเภทที่ไม่สามารถสังเกตอาการได้ จนถึงสามารถสังเกตพบอาการได้ แต่ละอาการจะมีความเด่นชัด หรือมีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อการพัฒนาของโรคหัวใจมากขึ้น

       อาการโรคหัวใจที่พบได้ส่วนใหญ่ ได้แก่
            ซึม อ่อนเพลีย
            เป็นลมหมดสติ
            ออกกำลังได้น้อย เหนื่อยง่าย
            หายใจลำบาก
            ช่องท้องบวม
            ไอ
            เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
            ขาหลังเป็นอัมพาตบางส่วน (พบในแมว)

          ผู้ที่จะให้คำตอบที่ดีที่สุดว่าสุนัขหรือแมวเป็นโรคหัวใจหรือไม่ ก็คือสัตวแพทย์ประจำตัวสัตว์เลี้ยงของท่าน โดยเฉพาะสัตวแพทย์ที่มีประสบการณ์ในด้านโรคหัวใจจะสามารถให้คำตอบที่แม่นยำ ได้ ดังนั้น การนำสัตว์เลี้ยงของทานไปตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อตรวจร่างกายโดยการฟังการ เต้นของหัวใจจะสามารถบอกความผิดปกติของหัวใจในระยะเริ่มแรกได้ 

          นอกจากนี้การวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การเอ็กซเรย์ การตรวจอัลตราซาวนด์ด้วยคลื่นเสียง (Echocardiography) ก็สามารถชี้เฉพาะยืนยันได้แม่นยำและละเอียดมากขึ้น เหล่านี้ถือเป็นสิ่งที่สำคัญในการที่จะทำให้ตรวจพบภาวะโรคหัวใจในระยะเริ่ม ต้นได้

          เมื่อนำสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์ สัตวแพทย์อาจจะถามเจ้าของถึงอาการหรือข้อมูลที่จำเพาะเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ของท่าน ก่อนที่จะทำการตรวจร่างกายสุนัข ถ้าสัตวแพทย์สงสัยว่ามีปัญหาทางสุขภาพหรือโรคหัวใจ อาจจะต้องมีการตรวจพิเศษเพื่อการวินิจฉัยโรคที่จำเพาะมากขึ้น เช่น การตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ การถ่ายภาพรังสี ตรวจวัด คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography) การตรวจอัลตราซาวนด์หัวใจ ด้วยคลื่นเสียง (Echocardiography) หรือตรวจวิธีการอื่นๆ ที่จำเป็นการตรวจร่างกายเป็นประจำ (ทุกปี) จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะทำให้สามารถตรวจพบโรคหัวใจในระยะเริ่มต้นได้


       สาเหตุการเกิดของโรคหัวใจ

          โรคหัวใจมักไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียว ปัญหาจากการกินอาหารไม่เหมาะสมสามารถเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหัวใจได้เช่น กัน นอกจากนี้ โรคอ้วน และการที่สัตว์มีน้ำหนักตัวมากเกินไปสามารถโน้มนำให้เกิดโรคได้ รวมถึง

      1. พันธุ์ของสัตว์เลี้ยง
          ในสุนัขพันธุ์เล็ก เช่น Poodle, Miniature Pinscher, Cavalier King Charles Spaniel มักพบปัญหาโรคสิ้นหัวใจรั่ว ขณะที่สุนัขพันธุ์ใหญ่ เช่น Dobermann Pinscher, Labrador Retriever, Great Dane และ Boxer มักเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจ

          ส่วนในแมวสายพันธุ์ Persian, Maine Coon และ American Shorthair มักพบความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจได้มากกว่าสายพันธุ์อื่น

      2. อายุ
          ความถี่ของโรคหัวใจ มักเพิ่มมากขึ้นเมื่อสัตว์เลี้ยงอายุมากขึ้น

     3. เพศ
          สัตว์เลี้ยงเพศผู้ มักพบเป็นโรคหัวใจมากกว่าเพศเมีย


        โรคหัวใจสามารถรักษาได้หรือไม่?
          โรคหัวใจของสุนัขและแมวอาจไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แม้ว่าการรักษาด้วยวิธีการและเทคนิคสมัยใหม่ได้ถูกนำมาใช้มากขึ้นในปัจจุบัน หรือการใช้ยากินบางตัวที่ต้องกินไปตลอดชีวิตอาจสามารถช่วยยืดเวลานานออกไป ได้ก็ตาม แม้ยาจะมีราคาแพงและไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย แต่ส่วนใหญ่ความสำเร็จของการรักษาโรคหัวใจสุนัขขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ ประการ ทั้งความร่วมมือที่ดีของเจ้าของสัตว์ และสัตวแพทย์ประจำที่สามารถตรวจพบปัญหาโรคหัวใจในระยะแรก ๆ ดูว่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะจะเป็นการช่วยรักษาชีวิตสุนัขของท่านให้ยืนยาวต่อไปและมีความเป็นอยู่ ที่ดีขึ้น 

          ดังนั้นการนำสัตว์เลี้ยงเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี ถือเป็นสิ่งที่เจ้าของสัตว์ควรคำนึงถึงเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับ การตรวจเช็คสุขภาพของตัวคุณผู้เป็นเจ้าของด้วยเช่นกัน
ขอบคุณที่มา : http://www.zazana.com/
{[['']]}

ลิวคีเมีย โรคลิวคีเมียในแมว



   ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ในประเทศไทยมีข้อมูลเกี่ยวกับ โรคลิวคีเมียในแมว พอสมควร ข้อมูลบางอย่างก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากตำราเมื่อสมัยก่อน ถือเป็นอีกโรคหนึ่งที่พบได้บ่อยในประเทศไทย

          โรคลิวคีเมีย เกิดจากเชื้อไวรัส พบได้ทั่วโลก แต่หลายคนอาจนึกถึงโรคลิวคีเมียในซีรีส์เกาหลีกัน โรคลิวคีเมียเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน

โรคลิวคีเมียในแมว ติดต่อได้อย่างไร 

          การติดต่อนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จากแมวสู่แมว ไม่ว่าจะเป็นทางบาดแผล (จากการกัดกัน), การอยู่ร่วมกันแบบใกล้ชิด (ยกตัวอย่างเช่นการตัดขน, การใช้ภาชนะรองอาหารร่วมกัน หรือการใช้ทรายอนามัยร่วมกัน) หรือจากแม่มาสู่ลูก (ทั้งทางรกและน้ำนม) จำง่าย ๆ ว่า เชื้อไวรัสลิวคีเมียอยู่ใน น้ำลาย, ปัสสาวะ และอุจจาระของแมวป่วย

แมวที่ป่วยเป็นโรคลิวคีเมีย มีอาการอย่างไร

          ในระยะแรก แมวอาจมีอาการเพียงแค่มีไข้ เซื่องซึม ท้องเสีย หรืออาจพบต่อมน้ำเหลืองขยายตัวขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากนั้นอาจมีอาการอื่น ๆ ได้โดยขึ้นอยู่กับระดับภูมิคุ้มกันในระบบต่าง ๆ อาทิเช่น น้ำหนักตัวลด ช่องปากอักเสบ ภาวะเลือดจาง อาการทางระบบประสาท เนื้องอกที่อวัยวะต่าง ๆ เป็นต้น

แมวที่เสี่ยงต่อ โรคลิวคีเมีย 

          แมวตัวผู้ ที่ยังไม่ได้ทำหมัน มีความเสี่ยงในการได้รับเชื้อไวรัสลิวคีเมียค่อนข้างสูง เนื่องจากธรรมชาติของแมวตัวผู้ ที่ชอบออกไปนอกบ้าน ไปต่อสู้กับแมวตัวผู้อื่นๆ เพื่อแย่งแมวตัวเมียกัน หากเป็นแมวเร่ร่อนยิ่งจะมีความเสี่ยงในการได้รับเชื้อไวรัสลิวคีเมียสูงกว่า แมวที่เลี้ยงไว้ตามบ้าน 

          อย่างไรก็ตาม สำหรับแมวที่เลี้ยงในบ้านอย่างหนาแน่น ก็มีอัตราเสี่ยงสูงไม่แพ้กัน หากมีแมวที่สามารถออกนอกบ้านไปได้ อาจนำเชื้อไวรัสลิวคีเมียกลับมา พอในบ้านมีประชากรหนาแน่น ก็มีอาจมีเรื่องความขัดแย้ง การแย่งกันเป็นใหญ่ รวมถึงความเครียดที่สูงขึ้น อันจะส่งผลให้มีการแพร่ระบาดได้

ระยะฟักตัวของ โรคลิวคีเมีย 

          ระยะฟักตัวของโรค หมายถึง ระยะเวลาตั้งแต่แมวได้รับเชื้อไวรัสลิวคีเมียเข้าไปในร่างกาย จนแสดงอาการเจ็บป่วย สำหรับ โรคลิวคีเมีย อาจมีระยะฟักตัวได้ตั้งแต่เดือนจนถึงปี ขึ้นอยู่กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย แม้ว่าตัวเชื้อไวรัสลิวคีเมียจะส่งผลกระทบต่อระบบเลือด ระบบน้ำเหลือง และระบบภูมิคุ้มกัน แต่ว่าระบบอื่น ๆ ภายในร่างกายนั้นจะไวต่อการติดเชื้อแทรกซ้อนอื่น ๆ อันเป็นผลมาจากภาวะกดภูมิคุ้มกัน

 
การตรวจวินิจฉัย โรคลิวคีเมียในแมว

          การตรวจวินิจฉัยนั้นมีอยู่หลายวิธี การตรวจวินิจฉัยในช่วงเวลาที่เหมาะสมจะเพิ่มความแม่นยำ แต่อย่างไรก็ดี “ผลบวกลวง” ก็อาจเกิดขึ้นในอัตราที่ค่อนข้างสูง หากตรวจวินิจฉัยครั้งแรก พบผลบวก ก็มีโอกาสที่ตรวจอีกครั้งจะได้ผลลบ โดยทั่วไปแนะนำให้ตรวจวินิจฉัยซ้ำห่างกัน 8-12 สัปดาห์

หากตรวจวินิจฉัยพบว่าแมวที่เลี้ยงไว้เป็นโรคลิวคีเมีย ควรปฏิบัติอย่างไร 

          แมวที่วินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคลิวคีเมีย อาจสามารถมีชีวิตยืนยาวได้นับปี มีข้อมูลการศึกษาว่า 83% ของประชากรแมวที่ทำการศึกษา มีอายุยืนยาวได้ไม่เกิน 4 ปี ภายหลังจากที่ตรวจวินิจฉัยว่ามีเชื้อไวรัสลิวคีเมีย โดยมีสองปัจจัยที่ควรเข้าใจ นั่นคือควรจะหลีกเลี่ยงความเครียดและการสัมผัสต่อเชื้อโรคอื่น ๆ ดังนั้น จึงไม่ควรให้อยู่รวมกับแมวป่วย หรืออยู่กันอย่างหนาแน่น อย่างไรก็ดี มีข้อมูลว่าหากเลี้ยงแมวที่ป่วยเป็นโรคลิวคีเมียไว้ร่วมกัน จะมีความเครียดน้อยกว่า กักขังให้อยู่เพียงลำพัง

          หากพบอาการป่วยเนื่องจากการติดเชื้อแทรกซ้อน ก็ให้รีบทำการรักษา อาจให้ยาปฏิชีวนะ ให้สารน้ำ หรืออาหารที่มีคุณค่าสูง หากพบก้อนเนื้องอก อาจให้การรักษาคีโมร่วมกับให้ยาในกลุ่มสเตรียรอยด์ ตามคำแนะนำของสัตวแพทย์

          ยาสำหรับคนที่นำมาใช้กรณีติดเชื้อ HIV มีรายงานว่าประสบความสำเร็จในการใช้ในแมวบ้าง แต่ก็มีผลข้างเคียงพอสมควร รวมถึงยาที่มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา (ในคน) ก็มีการนำมาทดลองใช้กับแมวที่ป่วยเป็นโรคลิวคีเมีย

การป้องกัน โรคลิวคีเมียในแมว

          เนื่องจากไม่มีวิธีรักษา การป้องกันจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แม้ว่าไม่มีวัคซีนตัวใด ที่สามารถให้ผลสร้างภูมิคุ้มกันในระดับ 100% แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคลิวคีเมียเลย โดยเฉลี่ยได้ผลประมาณ 75% – 85% นอกจากนี้ การแยกแมวที่ป่วยเป็นโรคลิวคีเมียออกจากฝูง และไม่ให้ออกไปสู่ภายนอก เป็นการควบคุมการระบาดของโรคลิวคีเมียได้เป็นอย่างดี 

          สำหรับการผ่าตัดทำหมันก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่จะลดพฤติกรรมการออกไปนอกบ้านของแมวตัวผู้ อันจะเพิ่มโอกาสความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อไวรัสลิวคีเมียได้อีกทางหนึ่ง ด้วย
ขอบคุณที่มา : http://www.zazana.com
{[['']]}

Translate

 
Support : Creating Website | Johny Template | Mas Template
Copyright © 2011. tonfolk-trick - All Rights Reserved
Template Created by Creating Website Published by Mas Template
Proudly powered by Blogger