Latest Article :
Home » , , » ตะลุยฮานอย ตามรอย AEC

ตะลุยฮานอย ตามรอย AEC

{[['']]}
 ประเทศเวียตนาม เป็นประเทศหนึ่งในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีสัญญาระหว่างประเทศกับไทย โดยมีสาระสำคัญคือ ผู้ถือหนังสือเดินทางสัญชาติไทย สามารถเข้าไปพำนักในประเทศเวียตนามได้ 30 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่า
ดังนั้นการเดินทางเข้าออกระหว่างประเทศไทยกับเวียตนาม ของคนไทยอย่างเราจึงสะดวกและง่ายดายมาก ถึงแม้เราจะเดินทางไปเที่ยวเอง โดยไม่ได้ไปกับบริษัททัวร์ก็ไม่มีอะไรยุ่งยาก
หากเปรียบเทียบกับทริปอื่นที่เคยไปมา ไม่ว่าจะเป็น พนมเปญ, เสียมเรียบ, หลวงพระบาง, เวียงจันทน์ หรือแม้แต่ วังเวียง ความแตกต่างของทริปนี้คือ คุ้มค่ามากๆ เพราะ เวลาที่อยู่ในฮานอยถึงแม้จะมีเพียง 2 วัน แต่สามารถเที่ยวสถานที่สำคัญๆ หลักๆ ได้ครบถ้วน และไม่ได้ไปแบบชะโงกทัวร์นะครับ แต่ผมใช้วิธีเดินสำรวจกันเลยทีเดียว
วันแรกของการเดินทาง 
เริ่มออกจากสนามบินด้วยเที่ยวบินเวลาประมาณ 7 โมงเช้า ถึงสนามบินนอยไบ ประเทศเวียตนามเกือบๆ 9 โมงเช้า (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1ชั่วโมง 50 นาที) จากนั้นมีรถมารับ (จองรถและที่พักไว้ล่วงหน้า) ไปที่พักโรงแรม Rising Dragon Grand Hotel ซึ่งเป็นที่พักอยู่ในกลางเมือง ต้องบอกว่าทำเลดีมากๆ เพราะมีสถานที่เที่ยว และสถานที่สำคัญอยู่ในระยะที่สามารถเดินเที่ยวได้เกือบทั้งหมด
ถึงที่พักประมาณ 9 โมงครึ่ง หลังจากเช็คอิน เจ้าหน้าที่และผู้ดูแลให้บริการดีมาก อธิบายทุกอย่างที่เราควรทราบทั้งหมด เมื่อเก็บข้าวของในที่พักเรียบร้อย เราก็เริ่มออกไปสำรวจฮานอยกันทันที 
 พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์

สำหรับคนไทยที่มาเวียตนามเป็นครั้งแรก สิ่งที่รู้สึกเหมือนกันคือ "ทำไมรถมอเตอร์ไซต์มันเยอะจัง? ทำไมวุ่นวายจัง? ทำไมต้องบีบแตรกันตลอด?" และสิ่งที่ผมกังวลก่อนมาถึงเวียตนามคือ "แล้วเราจะข้ามถนนกันยังไง?", "เราจะข้ามถนนกันได้หรือไม่?"
 สุสานประธานาธิบดี โฮจิมินห์

เราใช้แผนที่ๆ ทางโรงแรมให้มาเป็นอุปกรณ์ในการนำทาง โดยมุ่งตรงไปยังทะเลสาบ หว่านเกี๊ยม เป็นเป้าหมายแรก เพราะต้องการไปเที่ยววัดง็อกเซิน ระหว่างทางมีสิ่งน่าสนใจมากมาย
เมื่อถึงทะเลสาบหว่านเกี๊ยม บอกเลยว่า หายเหนื่อย เพราะอากาศเย็นสบาย รอบทะเลสาบเป็นที่พักผ่อน ร่มรื่น วัดซึ่งอยู่กลางน้ำ มีนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศมากมาย สำรวจภายในวัดอยู่ประมาณ 30 นาที ก็เดินทางต่อ โดยวนไปทางโรงละครกระบอกน้ำ แต่ไม่ได้แวะชมหรอกครับ เพราะกลัวเสียเวลาในการสำรวจเมืองฮานอย
 สะพานเทฮุก เป็นสะพานข้ามไปยังวัดวัดหง็อกเซิน ที่อยู่กลางน้ำในทะเลสาบหว่านเกี้ยม

หลักๆ ในการทัวร์กรุงฮานอยวันนี้คือ ไปเยี่ยมชมสถานที่สำคัญๆ ที่น่าสนใจ เกือบทั้งหมด เช่น พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์, พิพิธภัณฑ์ทหาร, สุสานโฮจิมินห์, Ba Dinh Square, President Palce, อนุเสาวรีย์เลนิน และอีกมากมายที่ไม่รู้จักชื่อ แต่สาระคือได้ไปในสถานที่ๆ ต้องการครบ


วัดหง็อกเซิน อยู่กลางทะเลสาบหว่านเกี้ยม

สำหรับท่านที่จะมาเที่ยวฮานอยด้วยตนเอง สิ่งที่ควรเตรียมตัวคือ ภาษาอังกฤษ (ถ้าได้อยู่แล้วข้ามไป), ภาษาเวียตนาม ควรศึกษามาบ้างจะช่วยให้การเที่ยวของคุณออกรสชาดยิ่งขึ้น อย่างน้อยก็ถามทาง, ถามราคา แต่ควรท่องเรื่องตัวเลขมาด้วย ถ้าคุณชอบช๊อปปิ้ง ถ้าคุณมีพื้นฐานภาษาอังกฤษอยู่แล้ว ศึกษาตัวอักษรของเวียตนามเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย คุณก็สามารถอ่านภาษาเวียตนามได้เลย ที่เหลือคุณก็ศึกษาคำศัพย์ให้เยอะๆ คุณก็สามารถเข้าใจภาษาเวียตนามได้ไม่ยาก
จบทริปสำหรับวันแรกในฮานอยด้วยความสนุก ตื่นเต้น และเมื่อยมาก เพราะเดินตั้งแต่ประมาณ 10.00 น. จนถึงประมาณ 18.00 น. โดยวิธีการค่อยๆ เดินสำรวจไปตามรายทาง เหนื่อยก็พักหาร้านอาหารที่ดูสะอาดเพื่อเติมพลัง สำหรับช่วงเดือนมีนาคม อากาศที่ฮานอยจะอยู่ที่ประมาณ 25 องศา สบายๆ ไม่ร้อน
สิ่งที่ได้จากการเดินทัวร์ฮานอยครั้งนี้คือ 

ทำให้รู้ว่า ถึงแม้การจราจรจะดูวุ่นวายกว่าในเมืองไทย แต่สิ่งที่แตกต่างคือผู้คนที่ใช้ถนนเขารู้จักแบ่งปันกัน ไม่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง และไม่ใช้อารมณ์ในการใช้ถนนเหมือนกับคนไทย เห็นรถวิ่งกันวุ่นวายแบบนั้นแต่ไม่มีอุบัติเหตุ ไม่มีมาจอดรถด่ากัน ไม่มีการมองหน้ากัน การบีบแตรของเขาจะมีเกือบตลอดเวลา แต่การบีบแตรของเขาหมายถึงการขอทางและให้เราระวังเหมือนกับบอกเราว่า "รถมาแล้วระวังหน่อยนะ" ซึ่งถ้าเป็นเมืองไทยการบีบแตรส่วนใหญ่จะหมายถึง การโมโห มีอารมณ์ใส่กัน แล้วระบายโดยแตร
ความวุ่นวายบนถนนในเวียตนามสำหรับผมแล้วมันคือธรรมชาติ ไม่ต่างไปจากการเดินของผู้คนที่มีจำนวนมากๆ ในสถานที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งจะเดินกันยั๊วเยี้ย ตัดหน้ากันไปมา แต่ไม่มีใครเดินชนกันเลย เพราะทุกคนต่างรู้และระวังตัวเอง ไม่เดินให้ไปชนกับใครอยู่แล้ว นั่นแหละคือการจราจรในเวียตนาม
อีกสิ่งหนึ่งที่สังเกตได้คือการจราจรในเวียตนามจะไม่เหมือนในไทยตรงที่ รถทุกคันจะค่อยๆ ไป แต่ถ้าเป็นเมืองไทยจะขับเร็ว ออกตัวแรง แซงเป็นหลัก แต่ของเวียตนามจะค่อยๆ ไปและไปเรื่อยๆ อุบัติเหตุจึงแทบไม่มีเลยถึงแม้จะดูวุ่นวาย
สำหรับการข้ามถนนในประเทศเวียตนาม ซึ่งดูเหมือนจะข้ามยาก แต่จริงๆ แล้วไม่ได้ยากอย่างที่คิด ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติการใช้รถใช้ถนนของคนเวียตนามอย่างที่ผมอธิบายไว้ข้างต้น วิธีการข้ามถนนในเวียตนามโดยเฉพาะที่ฮานอยมีหลักง่ายๆ คือ เดินไปเรื่อยๆ อย่าหยุด รถที่วิ่งมาเขาจะหลบเราไปเอง เพราะอย่างที่บอกคือรถเขาไม่ได้วิ่งแบบพรวดพราดแบบเมืองไทย เขาจะมาแบบเรื่อยๆ อุบัติเหตุจึงแทบจะไม่มีเลย

วันที่สองของการเดินทาง

วันนี้เราตั้งใจจะไปสถานที่ท่องเที่ยวนอกเมืองฮานอย ซึ่งเป็นสถานที่ขึ้นชื่อเสียงโดยได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก ใช่... เรากำลังพูดถึงเมืองฮาลอง และอ่าวฮาลอง ครับ

สำหรับประวัติความเป็นมาผมขอข้ามไปนะครับเพราะสามารถหาอ่านได้ทั่วไป แต่สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อคือ ความรู้สึกนึกคิด รวมทั้งสภาพแวดล้อมต่างๆ ในมุมมองของประสบการณ์ตรง ณ เวลานั้นๆ ที่ผมได้สัมผัสมา

การเดินทางจากฮานอยไปยังอ่าวฮาลอง หรือที่นิยมเรียกกันว่า ฮา ลอง เบย์ นั้น ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 45 นาที ส่วนการล่องเรือในอ่าวฮาลองนั้นใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงกว่า โดยรวมแล้วใช้เวลาเดินทางไป-กลับ และล่องเรือ ทั้งหมดประมาณ 10-12 ชั่วโมง (รวมเวลาแวะพักกลางทาง)
สำหรับการล่องเรื่องในครั้งนี้ สำหรับผมแล้วคิดว่าโชคดีมาก เพราะ ได้ไกด์ดี กันเอง ส่วนเรือภายในแต่งเป็นวีไอพี และคนที่ร่วมเดินทางกำลังดีไม่มากเกินไป และทั้งหมดจะมีวินัย รักษาเวลา
สำหรับคนที่ยังไม่เคยมาเที่ยวอ่าว ฮาลอง ผมมีคำแนะนำสั้นๆ ว่า ควรหาโอกาสมาสักครั้ง เพราะเป็นสถานที่สวยงาม แปลกตา คุณจะได้อยู่ในสถานที่ๆมี เกาะประมาณ 1,969 เกาะอยู่รายรอบตัว สิ่งที่ควรเตรียมมาคือ ชาร์ทแบ็ตเตอรี่กล้อง, มือถือ หรืออุปกรณ์บันทึกภาพมาให้เต็มที่ เพราะรอบตัวมีแต่ภาพที่น่าประทับใจ

สำหรับบางคนที่คิดว่าการล่องเรือที่อ่าวฮาลอง จะต้องเป็นเรื่องสำเภาแบบสมัยโบราณ ตามรูปที่โฆษณาหรือตามภาพโปรโมทที่เห็นกันทั่วไปนั้น บอกก่อนนะครับว่าไม่ใช่ เพราะหมดยุคแล้ว มีแต่เรือที่ทันสมัย ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องปกติที่ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้คือ การอนุรักษ์ และระเบียบวินัยของผู้ประกอบการ ทั้งส่วนของเรือล่องอ่าว และ เรือไม้ไผ่ที่คอยให้บริการ เยี่ยมชมในอ่าว มีการจัดระเบียบที่ใช้ได้ทีเดียว
ก่อนขึ้นฝั่ง ปิดท้ายการล่องเรือในอ่าวฮาลองที่ถ้ำสวรรค์ ซึ่งเป็นถ้ำที่สวยงามมาก ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยสวยงาม และมีรูปร่างๆ แปลกๆ ให้เราได้ใช้จินตนาการ โดยหินก้อนเดียวกันแต่อาจจินตนาการออกมาไม่เหมือนกัน ท้าทายสมองซีกขวาจริงๆ

สรุปสิ่งที่ได้จากทริปล่องเรืออ่าวฮาลอง
รถคันที่เราเดินทางไปนั้นเป็นแบบ จอยทัวร์ มีทั้ง อินโดฯ, อังกฤษ, สิงคโปร์, ฮ่องกง, เกาหลี, จีน และ ไทย ระหว่างทางไปกลับ สิ่งที่ผมมองเห็นคือ ความแตกต่างเกี่ยวกับทรรศนคติของผู้คน ที่หลากหลายเชื้อชาติในรถคันนั้น ทำให้เห็นโลกกว้างมากขึ้น รวมทั้งรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า ภาษาเป็นเรื่องสำคัญมาก
หากใครยังคิดว่าภาษาอื่นไม่ใช่ภาษาพ่อภาษาแม่ ไม่ต้องไปสนใจ ผมฟันธงได้เลยว่าเป็นการที่คิดผิดมากมาย ซึ่งใครที่คิดแบบนี้ในความรู้สึกผมคือ "คุณกำลังเอากะลามาครอบตัวเอง" และถ้าคุณอยากออกมาอยู่นอกกะลา สิ่งที่ควรทำคือการให้ความสำคัญกับภาษาอื่นมากขึ้น โดยเริ่มต้นที่ภาษาอังกฤษ เพราะใช้ได้ทุกที่
บนรถในระหว่างทางกลับมีหนุ่มเวียตนามที่ญาติเขารู้จักกับไกด์ฝากติดรถมาด้วย (รถมีที่นั่งเหลือ) ซึ่งดูเผินๆ ก็ไม่น่าสนใจอะไร แค่คนเวียตนามธรรมดา.. แต่ผมคิดผิดครับ เพราะหนุ่มเวียตนามคนนี้ (อายุไม่น่าเกิน 20-22) เชื่อไหมครับว่าพูดได้ทั้ง ญี่ปุ่น, จีน, อังกฤษ และผมก็คิดว่าน่าจะพูดไทยได้ด้วย เพราะเท่าที่ผมจับความที่เขาคุยกันคือ เคยเรียนที่ไทยอยู่ 2 ปี และตอนนี้เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยในโอซาก้า... โอมายก๊อดดดดดด นี่คือประสบการณ์ที่ทำให้ผมรู้สึกสุดยอดมากกับแนวคิด และทัศนคติของคนเวียตนามในปัจจุบัน แล้วหันมาดูเด็กไทย เรียนภาษาอังกฤษกันตั้งแต่เล็กยันมหาลัย มีใครพูดอังกฤษได้เก่งไหม?

ผมเชื่อว่าประสบการณ์แบบนี้ผมจะไม่มีวันได้ หากผมซื้อทัวร์จากประเทศไทยและไปเที่ยวกับบริษัททัวร์ เพราะคุณจะได้อยู่แต่กับกลุ่มทัวร์ของคุณเท่านั้น

กลับมาถึงฮานอยประมาณเกือบๆ 20.00 น. และตรงกับวันศุกร์ซึ่งเป็นวันที่มีตลาดกลางคืน ผมไม่กลับโรงแรมขอลงที่ทะเลสาบหว่านเกี๊ยมเลย เพราะต้องการเดินชมตลาดกลางคืน ซึ่งตั้งอยู่ตรงหัวถนนถัดจากวงเวียน ใกล้ทะเลสาบ
ปิดท้ายที่ตลาดกลางคืน (Night Market)ผมทราบดีว่าตลาดกลางคืนก็คือตลาดนัดที่เหมือนกับบ้านเรา แต่สิ่งที่แตกต่างคือวัฒนธรรม นั่นแหละคือสิ่งที่ผมต้องการ และเป็นสิ่งจูงใจที่ทำให้ผมอยากเดินตลาดกลางคืนที่นี่...
ที่ตลาดกลางคืนแห่งนี้คึกคักมาก มีสินค้าต่างๆ มาวางขายกันตลอดแนวถนนราว 500-600 เมตร ได้ โดยรวมแล้วสินค้าไม่น่าสนใจหรอกครับ (หรือว่าผมไม่ชอบช๊อปปิ้ง) แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ อาหาร, ขนม ที่มาขายตามรายทาง เป็นของกินที่บ้านๆ หากินไม่ได้อีกแล้วถ้าไม่มาเวียตนาม (ถ้าอยากกินจริงๆ ในไทยก็อาจจะมี แต่ต้องไปถึงอุดรธานี หรือ หนองคาย) เช่น บ่อ เบี๊ยะ และอีกหลายๆ อย่างที่ได้ชิม แต่ไม่รู้จักชื่อ ซึ่งทุกอย่างอร่อย
ถ้าอยากได้ของฝากที่เป็นของพื้นๆ ประจำท้องถิ่น ให้เดินตามซอยที่ตัดขวางแนวถนนที่ขายของ ตามซอยเหล่านี้จะมีทั้งของกินพื้นบ้านที่สะอาด และร้านของฝากเยอะเยอะมากมาย ราคาไม่แพง เช่นกาแฟห่อใหญ่ ซื้อได้ในราคา 120,000 ด่ง แต่สินค้าตัวนี้ถ้าไปซื้อที่สนามบินจะอยู่ที่ประมาณ 320,000 ด่ง เป็นต้น
หลังจากได้ของฝาก และได้ชิมอาหารพื้นเมืองอิ่มหนำเรียบร้อย ก็เดินกลับที่พัก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พัก เพื่อต้องเตรียมตัวพักผ่อนเพราะตอนเช้าต้องรีบขึ้นเครื่อง 8 โมงเช้า เป็นอันจบทริปฮานอยของผมในคราวนี้
อยากไปเที่ยวฮานอยด้วยตนเองตั้งทำอย่างไร?
การมาเที่ยวฮานอยไม่ใช่เรื่องยากครับ สิ่งที่ควรเตรียมตัวคือ
- ภาษาอังกฤษอย่างน้อยก็พอสื่อสารได้
- หนังสือเดินทาง อายุ 6 เดือนขึ้นไป 

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางและที่พักโดยประมาณ- หากต้องการประสบการณ์ แนะนำไม่ต้องไปซื้อแพ็คเก็จทัวร์ให้เปลืองตังค์ เพราะมาเองถูกกว่าเกินครึ่ง ซึ่งโดยปกติหากเราซื้อแพ็กเก็จทัวร์ (แบบ 3 วัน 2 คืน) จะอยู่ที่ประมาณ 12,000 - 15,000 บาท/คน แต่ถ้าจองตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พักเอง (จองไว้ล่วงหน้าสัก 2-3 เดือน) จะอยู่ทีประมาณ 4,000-5,000 บาท/คน แนะนำให้จองผ่าน Air Asia ที่เป็นแบบจองพร้อมห้องพัก
- สำหรับที่เที่ยวในเมือง เราใช้วิธีเดิน จะได้ประสบการณ์ที่ดีกว่า หรือจะนั่งรถก็ได้ครับในบางเส้นทางแต่ควรตกลงราคากันให้ชัดเจน
- สำหรับทัวร์ล่องอ่าวฮาลอง จองกับโรงแรมที่เราพักได้เลยครับ (สูงสุดไม่เกิน 55 เหรียญ/คน - ถูกกว่านี้ก็มี แต่คุณภาพตามราคา)
- สำหรับรถรับส่ง บางโรงแรมมีให้พร้อมแต่ถ้าไม่มี เราจองให้ทางโรงแรมจัดรถมารับ-ส่งเราจะสะดวกกว่า ราคาเต็มที่ 19 เหรียญ เหมือนจะแพงกว่าปกติ 4-5 เหรียญ แต่สบายใจที่เราไม่ต้องเสี่ยงมีปัญหากับแท็กซี่

สรุปค่าใช้จ่ายในการเที่ยวฮานอยต่อหัวอยู่ที่ประมาณ 7,500 บาท/คน (รวมที่ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ+ที่พัก (2 คืน)+รถรับ-ส่ง สนามบิน-โรงแรม,โรงแรม-สนามบิน+ล่องเรือที่ ฮาลองเบย์) จริงๆ ค่าใช้จ่ายทริปที่ผมไปไม่ถึง 7,000 บาท/คน ครับ แต่ผมทำตัวเลขประมาณการเผื่อเอาไว้ให้

สำหรับเงินค่าใช้จ่ายระหว่างเที่ยว พิจารณาความเหมาะสม แนะนำขั้นต่ำที่ 10,000 บาท ถ้าชอบซื้อของก็เพิ่มอีกสัก 5,000 บาท ส่วนค่าเงินของเวียตนามนั้นเฉลี่ยโดยประมาณจะอยู่ที่ประมาณ 65,xxx ด่ง ต่อ 100 บาท ซึ่งตัวเลข 3 ตัวหลังอาจเปลี่ยนแปลงตามค่าของสกุลเงินที่เปลี่ยนไป
Share this article :

แสดงความคิดเห็น

Translate

 
Support : Creating Website | Johny Template | Mas Template
Copyright © 2011. tonfolk-trick - All Rights Reserved
Template Created by Creating Website Published by Mas Template
Proudly powered by Blogger